ที่ประชุม คมส. รับทราบความก้าวหน้าขับเคลื่อน 5 มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ “NCDs – มะเร็งท่อน้ำดี – ระบบสุขภาพเขตเมือง – การบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ – การพัฒนาประชากร” พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนมติสอดรับนโยบายเร่งด่วนนายกฯ อนุทิน แนะรัฐบาล-กระทรวง นำแนวทางในมติไปปรับใช้ แก้ปัญหาชาติได้ทันที
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คมส.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี ศ.คลินิก สุพรรณ ศรีธรรมมา รองประธาน คมส. เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พร้อมทั้งเห็นชอบต่อข้อเสนอการขับเคลื่อน พร้อมทั้งได้พิจารณาเกณฑ์การมอบรางวัลแก่บุคคลหรือหน่วยงานที่มีผลงานโดดเด่นในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ จำนวน 10 รางวัล ซึ่งจะมอบในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. นี้
ผศ. พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ เปิดเผยว่า รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล สามารถนำเอาแนวทางตามข้อมติในมติสมัชชาสุขภาพ ซึ่งมีทั้งประเด็นที่ต้องเร่งด่วนอย่างภัยพิบัติ ฝุ่นควัน ประเด็นปัจจุบันอย่างโรคไม่ติดต่อ (NCDs) หรือประเด็นอนาคตอย่างสุขภาวะสังคมสูงวัย ไปประยุกต์หรือปรับใช้ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศได้ทันที เพราะมติดังกล่าวผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบนหลักวิชาการมาแล้ว และยังสอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล หน่วยงาน และกระทรวงต่างๆ อีกด้วย
“อย่างปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำหลาก น้ำแล้ง เรามีมติเรื่องการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ซึ่งมองการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นองค์รวม ดูว่าปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานั้นมีอะไรบ้าง เช่น องค์ความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยี ระบบจัดการข้อมูล กลุ่มคน หรือหน่วยงานที่มีศักยภาพ โดยให้น้ำหนักไปที่การบูรณาการกลไกบริหารจัดการ จากเดิมที่ต่างคนต่างทำให้มาร่วมกันซึ่งหน้าที่ของ สช. ก็จะไปประสานให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมีส่วนร่วม การวางแผนร่วมกันปฏิบัติ ฯลฯ” ผศ. พงค์เทพ กล่าว
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่า มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติล้วนแต่ตั้งต้นมาจากปัญหาสลับซับซ้อนที่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการการมีส่วนร่วมและนโยบายสาธารณะในการแก้ไข มติฯ ทั้งหมดจึงมีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็จะมีความชัดเจนว่ารัฐบาลมุ่งเน้นด้านใด และการขับเคลื่อนมติฯ จะสอดรับได้อย่างไร
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอด 17 ปี ที่ผ่านมา มีมติสมัชชาสุขภาพฯ รวม 98 มติ และในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 จะพิจารณาเพิ่มอีก 5 มติ ส่วนใหญ่สอดคล้องและมีส่วนสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น มติการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ซึ่งตรงกับปัญหาของประเทศและตรงกับนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ที่ต้องการแก้ปัญหาภัยคุกคามและส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนใน 4 ด้าน โดยหนึ่งในนั้นคือภัยธรรมชาติ ที่จะต่อยอดไปสู่การทำระบบเตือนภัย ระบบเยียวยาฟื้นฟู การเร่งชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงทีและเป็นธรรม
นพ.สุเทพ กล่าวว่า สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ภายใต้ประเด็นหลัก (Theme) คือ “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” โดยขณะนี้มีประเด็นที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในสมัชชาฯ จำนวน 5 ประเด็น ได้แก่ 1. การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (silver economy) 2. ผลกระทบของภูมิรัฐศาสตร์ต่อระบบสุขภาพไทย 3. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 4. ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต 5. กลไกพัฒนาที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ มติฯ ที่ คมส. มีมติรับทราบความก้าวหน้าในการประชุม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ มติฯ ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฯ ประกอบด้วย 3 มติฯ ได้แก่ 1. กลุ่มมติที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อ (NCDs) แม้จะมีการขับเคลื่อนจริงจังและถูกนำไปเป็นนโยบายในระดับพื้นที่และระดับชาติ เช่น การนับคาร์บ แต่ยังพบความท้าทาย เช่น มาตรการภาษี มาตรฐานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้เป็นมิตรต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการออกกำลังกาย ฯลฯ จึงเสนอให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี เพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยงโรค NCDs
2. มติ 7.3 การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในประชาชน โดยหลายหน่วยงานได้ทำแผน สนับสนุนงบประมาณ คิดค้นนวัตกรรมช่วยแก้ปัญหา เช่น ฐานข้อมูลกลุ่มเสี่ยง (Isan Cohort) ชุดตรวจคัดกรองโรคแบบรวดเร็ว (OV-ATK) รวมทั้งนำงานวิจัยมาใช้จริงในพื้นที่ แต่ก็ยังพบช่องว่างในการขับเคลื่อน จึงเสนอให้ ศธ. บรรจุหลักสูตรภูมิคุ้มกันโรคและสอนในสถานศึกษาพื้นที่เสี่ยงสูง ให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีบ่อบำบัด ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สร้างแรงจูงใจหน่วยบริการร่วมดำเนินการ ให้ สธ. สนับสนุนการจัดหายา วางระบบ Service plan กำหนดมาตรฐานและเฝ้าระวังอาหาร
3. มติ 8.3 ระบบสุขภาพเขตเมือง: การพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) หนึ่งในพื้นที่ตามมติฯ ได้ใช้แนวทางการบริหารจัดการในระดับโซนพื้นที่ (Bangkok Health Zoning) มีการตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบาย ใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพ กทม. สร้างการมีส่วนร่วมประชาชน จัดทำธรรมนูญสุขภาพระดับเขตไปแล้ว 22 เขต อยู่ระหว่างจัดทำอีก 28 เขต ส่วนข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนมติฯ จากนี้ให้ อปท. หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่รับถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กำหนดนโยบายจัดระบบบริการสุขภาพเขตเมืองระดับจังหวัดที่มุ่งเน้นบริการปฐมภูมิ
สำหรับส่วนที่สอง คือมติฯ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ ซึ่งมีด้วยกัน 2 มติ ได้แก่ 1. มติ 16.2 การส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ที่นอกจากจะมุ่งแก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง หรือน้ำหลากแล้ว ต้องมองให้ครบทุกระบบตั้งแต่ต้น กลาง และปลายน้ำ โดยขณะนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ดำเนินงานภายใต้ร่างแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำ 20 ปี พร้อมทำงานร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำและองค์กรผู้ใช้น้ำ ฯลฯ แต่ก็ยังพบปัญหาจากกฎระเบียบข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการบูรณาการทำงานร่วมกัน จึงต้องมีการทำงานเรื่องนี้กันต่อ
2. มติ 16.3 การส่งเสริมการพัฒนาประชากรให้เกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 มีการบรรจุประเด็นนี้ ขณะที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อปท. ศธ. ได้ร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อให้บรรลุผล โดยทั้งสองมตินี้จะมีการรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ด้วย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ