นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอสร้างกติกากำกับแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์-รายการออนไลน์ ต้องโปร่งใส ชัดเจน ก้าวทันเทคโนโลยี เน้นรักษาความสมดุลระหว่างการปกป้องผู้บริโภค - กับการรักษาเสรีภาพการแสดงออก ย้ำต้องไม่เข้มงวดถึงขั้นจำกัดเสรีภาพการแสดงออก ยกตัวอย่าง “อังกฤษ-สิงคโปร์-อินโดนีเซีย” ก็กำกับเช่นกัน
10 กันยายน 2568 ผศ. ดร.เอกพล เธียรถาวร อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีประเด็นถกเถียงกันว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรมีบทบาทเข้าไปกำกับแพลตฟอร์มที่ให้บริการสื่อผ่านอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบดั้งเดิม (Over-The-Top : OTT) หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันพบว่าผู้สื่อข่าว ผู้ประกาศข่าว ตลอดจนอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก ได้เปิดช่องทางการสื่อสารออนไลน์ของตัวเอง หรือมีรายการออนไลน์ของตัวเอง และในบางกรณีอาจมีการรายงานที่หลุดกรอบมาตรฐานที่ควรจะเป็นไปบ้าง ส่วนตัวเห็นว่าจำเป็นต้องมีการสร้างกติกากำกับ OTT ซึ่งต้องมีความโปร่งใส ชัดเจน ก้าวทันเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน กสทช. มีความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายให้มีการควบคุม OTT อยู่ และมีการศึกษาเรื่องกฎหมายนี้มานานร่วมปีแล้ว ส่วนตัวเห็นว่า กสทช. ควรที่จะเร่งสร้างความชัดเจนในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับ OTT เพราะกฎหมายเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบันตามเทคโนโลยีไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ากฎที่ออกมานั้นจะต้องมีความเข้มงวดจนกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกของสื่อ แต่โดยหลักการควรจะต้องมีกติกาที่ชัดเจนและก้าวทันเทคโนโลยี เช่นเดียวกับที่หลายประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ ก็มีข้อบังคับในการควบคุม OTT เช่นกัน
ผศ. ดร.เอกพล กล่าวว่า แนวคิดเรื่องการไม่ใช้ภาษาและพฤติกรรมที่เป็นการดูหมิ่นหรือสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้อื่น (Political Correctness: PC) ในการสื่อสาร ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในแก้ไขปัญหาการแสดงออกอย่างเลยเถิดจนไปกระทบจิตใจ เกิดการกดทับ การตีตรา หรือเกิดวาทะที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) จนอาจนำมาสู่ความรุนแรงในโลกของความเป็นจริงได้
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันมีผู้มองว่าหากคำนึงถึง PC เพียงอย่างเดียว การสื่อสารที่ไม่พูดอย่างตรงไปตรงมาหรือมัวแต่ประดิดประดอยถ้อยคำก็อาจทำให้ปัญหาเหล่านั้นไม่ถูกแก้ไข ดังนั้นเส้นหรือความสมดุลของการรักษาหลักการ PC จึงขึ้นอยู่กับแก่นของประเด็นที่ต้องการจะสื่อสาร ส่วนตัวมองว่าสื่อสามารถพูดในเรื่องอ่อนไหวได้ และ PC ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามพูดเรื่องอ่อนไหวในทุกกรณี ทั้งหมดอยู่ที่แก่นของเรื่องว่าจะสื่อสารอะไร หากเรื่องอ่อนไหวเหล่านั้นสัมพันธ์กับนโยบาย การกระทำ การปฏิบัติหน้าที่ การบริหารงาน จนทำให้ประเทศเสียประโยชน์ก็สามารถพูดได้ คือต้องก้าวข้ามการโจมตีบุคคล
ผศ. ดร.เอกพล กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเด็นที่มีผู้ดำเนินรายการพูดถึงโรคซึมเศร้าแล้วมีสื่อนำไปเผยแพร่ซ้ำนั้น ส่วนตัวมองว่าการกระทำของสื่อเข้าข่ายการผลิตซ้ำเนื้อหาเดิมๆ หรือข้อความเดิมๆ จนอาจจะสร้างผลกระทบต่อเหยื่อผู้ได้รับความเสียหาย หรือประชาชนผู้เสพสื่อที่มีประสบการณ์ร่วมเดียวกันกับเหยื่อได้ แต่จากการมอนิเตอร์การเผยแพร่ข่าวดังกล่าวของสื่อหลายสำนัก พบว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ในมาตรฐานที่รับได้ เพียงแต่อาจจะมีสื่อบางช่องหลุดออกนอกกรอบไปบ้าง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนว่าพื้นที่ออนไลน์ยังไม่มีกรอบที่ชัด แต่ส่วนคิดว่าในประเด็นนี้ไม่ควรมีกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ด้วยบทบาทหน้าที่ของสื่อสามารถที่จะเผยแพร่เนื้อหาหรือคลิปที่มีความรุนแรงได้บ้าง เพียงแต่เนื้อหาของข่าวควรมุ่งไปยังบริบทของการตั้งคำถามเรื่องการทำหน้าที่และเรื่องจริยธรรมเป็นหลัก ไม่ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องตลกหรือเรื่องที่มีสีสันเพื่อหวังยอดติดตามของผู้รับชมเพียงอย่างเดียว ย้ำว่าสิ่งสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่าง PC เสรีภาพการพูด และความรับผิดชอบของสื่อมวลชน ซึ่งไม่ใช่การห้ามพูดในเรื่องที่อ่อนไหว แต่ต้องสามารถพูดได้บนมาตรฐานและเจตนาที่ชัดเจน
อนึ่ง เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 คมชัดลึก รายงานว่า จากกรณีที่ ลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำผกา ผู้ดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ได้ล้อเลียนอาการซึมเศร้าของ สิริลภัส กองตระการ หรือ หมิว สส.พรรคประชาชน ระหว่างการลุกขึ้นโหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย (Thai Broadcast Journalist Association) ออกแถลงการณ์เรื่อง บทบาทสื่อมวลชนต่อการแสดงออกในที่สาธารณะ
แถลงการณ์ได้แสดงความห่วงใยต่อกรณี การแสดงออกของลักขณาที่ใช้ถ้อยคำล้อเลียน สิริลภัส กองตระการ (สส.พรรคประชาชน) พร้อมโยงถึงภาวะโรคซึมเศร้า ในการจัดรายการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเกียรติศักดิ์ของบุคคลและสร้างบาดแผลต่อผู้ป่วยที่กำลังเผชิญภาวะทางจิตใจ
สมาคมฯ จึงเห็นว่า การแสดงออกดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้กระทำมีสถานะเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อสาธารณะ ซึ่งควรยึดมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังหรือดูหมิ่นบุคคลใด
ขณะเดียวกันแถลงการณ์ของสมาคมยังย้ำว่า การทำงานสื่อมวลชนทุกแขนงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 27 และควรตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและกลุ่มเปราะบางในสังคม
ทั้งนี้แม้การแสดงออกดังกล่าว จะเกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนบุคคลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และแม้คุณลักขณาจะได้ตัดสินใจยุติบทบาทการดำเนินรายการ ’คุยคลายข่าว’ ชั่วคราวแล้วก็ตาม สมาคมฯ ระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคนยังคงมีพันธะทางจริยธรรมที่จะต้องรักษามาตรฐานการแสดงออกให้เหมาะสม และไม่ใช้ถ้อยคำที่อาจนำไปสู่การดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคลใดบุคคล
หนึ่งสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยจึงขอเรียกร้องให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคน รักษามาตรฐานความรับผิดชอบทางวิชาชีพ และแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเชื่อมั่นและศรัทธาที่สังคมมีต่อสื่อมวลชน
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ