บพท. เปิดตัวหนังสือ 'การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ'

กองบรรณาธิการ TCIJ 18 ส.ค. 2568 | อ่านแล้ว 282 ครั้ง

บพท. เปิดตัวหนังสือ 'การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ'

หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดตัวหนังสือ 'การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ'

วัฒนธรรมไทยอยู่กับวิถีชีวิต อยู่กับทุกฤดูกาล อยู่กับทุกสถานการณ์ ขณะที่เรื่องราวและคุณค่ายังคงมีอยู่ แต่หากไม่ศึกษาเชิงลึก ขาดความรู้ของพื้นที่ ใช้ง่ายแบบฉาบฉวย และไม่สามารถจัดการทุนวัฒนธรรมให้มีพลังขึ้นมาได้ ในที่สุดงานคุณค่าเหล่านี้ก็จะอาจเลือนหายไป และมูลค่าก็เสื่อมลงในที่สุดนั่นเอง...

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือ “การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย: ทฤษฎีและการปฏิบัติ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมหกรรมทุนวัฒนธรรม National Cultural Symposium “สืบสาน สร้างสรรค์พลังทุนวัฒนธรรมสู่เศรษฐกิจยั่งยืน” The Power of Culture: Driving to Economic Sustainability ภายในงาน อว. FAIR Creatures of Tomorrow 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ทั้งนี้ ‘การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ’ เป็นหนังสือที่เขียนโดย ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน “ธัชภูมิ” เพื่อการพัฒนาพื้นที่ และ ดร.ธนภณ วัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญการบริหารงานวิจัยเชิงพัฒนาพื้นที่ด้านทุนทางวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเรียบเรียงความรู้และประสบการณ์ผ่านวิธีคิดอย่างเป็นระบบ วิธีการศึกษาทุนวัฒนธรรม พร้อมนำเสนอตัวอย่างรูปธรรมของการจัดการทุนวัฒนธรรมที่เกิดจากความมีส่วนร่วมของผู้คนในพื้นที่ซึ่งนำไปสู่การสร้างรายได้เพิ่ม ภายใต้การขับเคลื่อนชุดโครงการจัดการทุนวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ชุมชน และสำนึกท้องถิ่น ที่มีการขับเคลื่อนงานต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการวัฒนธรรม ย่าน ตลาด เทศกาล และผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เปรียบเสมือนเข็มทิศหรือเครื่องมือที่จะช่วยให้นักวิจัย มหาวิทยาลัย หน่วยงาน หรือผู้ที่จะก้าวเข้าสู่งานเรื่องการจัดการทุนวัฒนธรรมได้มีตัวช่วยให้สามารถทำงานง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีองค์ประกอบของ Methodology ที่จะช่วยให้สามารถใช้กระบวนการวิจัยสร้างการมีส่วนร่วมในพื้นที่ เพื่อให้เป็นการจัดการทุนวัฒนธรรมที่ก้าวไปสู่ความยั่งยืนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้น

ดร.สีลาภรณ์ กล่าวว่า คำว่า “การจัดการ” นั้นสำคัญและมักจะถูกมองข้าม ซึ่งหน่วย บพท. ให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกกรณีด้วย “การจัดการโดยใช้ข้อมูลและความรู้” ไม่ใช่การจัดการแบบสั่งการ โดยการทำงานขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมไทยอาศัยการจัดการให้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีพลังขึ้นมา เป็นการจัดการเพื่อ “หมุนวงจรของคุณค่าและมูลค่า” ด้วยการรู้จักและเข้าใจอย่างแท้จริง เนื่องจากประเทศไทยมีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมสูงมาก และมีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก โดยสังเกตได้จากตระกูลภาษาประมาณ 90 ตระกูลสามารถอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง ดังนั้นทุนวัฒนธรรมของไทยจึงหยั่งรากลึกและไม่เคยถูกกลืนกินจากชาติอื่นได้ ซึ่งมีความหมายต่อความเจริญก้าวหน้าและการกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น การแสดงทางวัฒนธรรม หากเราไม่สามารถสัมผัสเข้าใจถึงความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม เราก็จะเห็นเป็นเพียงการแสดง แต่ไม่สามารถงัดพลังคุณค่าของมันขึ้นมาสร้างมูลค่า โดยที่ยังสามารถสืบสานคุณค่าเหล่านั้นให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างยั่งยืน

ทางด้าน ดร.ธนภณ กล่าวว่า พยายามเรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย วัฒนธรรมไทย และการจัดการแบบไทย ซึ่งร้อยละ 90 เป็นการจัดการแบบเครือญาติหรือแบบพวกพ้อง มีวัฒนธรรมชาวบ้านเป็นรากฝอยมหาศาลที่หยั่งลึก ช่วยพยุงและยึดรากใหญ่ให้หนาแน่นหลอมรวมเป็นวัฒนธรรมชาติ จึงอาจบอกไม่ได้ชัดเจนว่าใครควรจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่คนที่ทำงานด้านนี้ควรจะได้อ่าน เพื่อให้มีแนวทางในการทำงานด้วยความเข้าใจ สำนึกความเป็นชาติ และมีความระมัดระวัง

“ทุนทางวัฒนธรรมเปรียบเสมือนรากของต้นไม้ ‘วัฒนธรรมของชาติ’ คือรากแก้วที่หยั่งลึก ‘ทุนวัฒนธรรมของชุมชน’ ที่หนาแน่นคือรากฝอยช่วยยึดรากแก้ว ผสานเป็น “ทุนทางวัฒนธรรมของไทย” ดังนั้นหากรากยิ่งลึกและแผ่กว้าง ลำต้นซึ่งเปรียบเสมือน ‘ทุนทางสังคม’ ก็จะยิ่งเติบโต ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้รากมั่นคงอยู่ได้ ฉะนั้นสังคมมีหน้าที่ขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมเหล่านี้ให้เกิดการใช้ประโยชน์ รักษา และพัฒนา หากมีกระบวนการจัดการทางสังคม ความเจริญงอกงามก็จะกลายเป็นกิ่งก้านออกดอกออกผลตามฤดูกาลต่าง ๆ คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้จึงสัมพันธ์กันตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ที่มีสำนึกและจัดการทุนวัฒนธรรมให้ทั้ง 3 สิ่งนี้ประกอบกันอยู่ได้ ดังนั้นหากเรามีการจัดการที่ดี ทุนวัฒนธรรมเหล่านี้ก็จะสร้างรายได้ให้กับพื้นที่และประเทศอีกแบบหนึ่ง”

ดร.สีลาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศที่ยังคงมีความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมแม้จะผ่านการถูกล่าอาณานิคมมา และไทยเป็นหนึ่งในนั้น เรื่องวัฒนธรรมไม่มีใครโค่นไทยลงได้ แต่หากเราไม่ศึกษาและพยายามทำความเข้าใจรากเหง้าของตัวเอง สุดท้ายเราอาจกลายเป็นผู้ทำลายทุนวัฒนธรรมที่มีคุณค่าเหล่านี้เสียเอง ดังนั้นการขับเคลื่อนทุนวัฒนธรรมจำเป็นต้องอาศัยความมีส่วนร่วมดังเช่นหลัก “บวร” บ้าน วัด โรงเรียน และชุมชน ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายที่สำคัญคือการทำให้เด็กไทยและคนไทยมีความแข็งแกร่งทางด้านวัฒนธรรมมากขึ้น เราจึงตีความคำว่า “บวร” คือสถาบันการศึกษา ซึ่งหน่วย บพท. ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยจำนวนมากเพราะเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ และต้องการเข้ามามีส่วนร่วม (Contribution) สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การจัดการทุนวัฒนธรรม” นอกจากนั้น ในหนังสือเล่มนี้ยังมีส่วนของ “Methodology” ที่ว่าด้วยเรื่องการเข้าถึงด้วยกระบวนการวิจัยเชิงพื้นที่ของ ABC ซึ่งเป็นอีกหนึ่งงานภายใต้การสนับสนุนของหน่วย บพท. แม้ส่วนนี้จะค่อนข้างยาก แต่เชื่อว่าจะช่วยให้คนทำงานเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กลไกความยั่งยืน’ ได้ตั้งแต่วันแรกของการทำเรื่องนี้

“สิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ของหน่วย บพท. ที่สามารถทำให้เกิดความยั่งยืนได้ด้วยกลไกที่เป็นของคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับนักวิชาการที่อาจไม่มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับชุมชนชาวบ้าน ซึ่งต้องเข้าไปทำหน้าที่ ‘ปูเสื่อการทำงาน’ และทำให้กลไกการจัดการในพื้นที่เกิดขึ้นมาได้อย่างเป็นรูปธรรม ค่อย ๆ เชื่อมโยงผู้คนเข้ามา ผ่านการสร้างพลังร่วมและก่อรูปออกมาเป็นกลไกจัดการใหม่ที่ยั่งยืน ดังนั้นส่วนนี้ในหนังสืออาจต้องอ่านหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจ แต่จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การจัดการทุนวัฒนธรรมที่ท่านกำลังทำอยู่เกิดความยั่งยืนได้”

ทั้งนี้ ดร.ธนภณ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากประสบการณ์ทำงานร่วมกับหน่วย บพท. และมหาวิทยาลัยหลายแห่ง พบว่า หลุมพรางด่านหนึ่งที่เรายังก้าวผ่านไปไม่ค่อยพ้นคือ การทำงานด้านทุนวัฒนธรรม เรามักจะเห็นปลายทางเป็นเรื่องของมูลค่า จึงอาจเผลอมองว่าทำง่าย ใช้ง่าย และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในโลกเข้ามาจับโดยที่ยังขาดความรู้ของพื้นที่ ขาดการศึกษาเชิงลึก ทำให้งาน ‘คุณค่า’ ทางวัฒนธรรมเหล่านี้เลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในวันหนึ่งหากคุณค่าหายไป มูลค่าก็จะเสื่อมลงเช่นกัน

“หนังสือเล่มนี้จึงมีเรื่องราวทุกด้านจากการศึกษาและเรียบเรียงอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการนำตัวเลขทางเศรษฐกิจ การใช้หลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายทุนทางวัฒนธรรมเพื่อทำให้เห็นว่า “คุณค่า” มีความสำคัญมาก หากเราทำให้คุณค่าและมูลค่าเกิดความสมดุลระหว่างกันได้ การหยั่งรากลึกของทุนวัฒนธรรมไทยก็จะก้าวหน้าไปได้ไกลแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะวัฒนธรรมไทยอยู่กับวิถีชีวิต อยู่กับผู้คน อยู่กับชุมชน อยู่กับทุกฤดูกาล และอยู่ทุกสถานการณ์ของคนไทย” ดร.ธนภณ กล่าว

ในท้ายที่สุด “การจัดการทุนวัฒนธรรมไทย ทฤษฎีและการปฏิบัติ” อาจเป็นหนังสือที่ช่วยให้ผู้อ่านได้เห็นวิธีคิด วิธีมองพื้นที่ และวิธีสร้างสรรค์พลังจากสิ่งที่มีอยู่แล้วนั่นก็คือ “ทุนทางวัฒนธรรม” และหนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเสมือนคู่มือหรือเพื่อนคู่คิดของคนทำงานจริงในพื้นที่ ซึ่งอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากฐานราก ท่ามกลางความเปราะบางของสังคมไทยในทุกวันนี้ คำว่า “The Power of Culture” จึงไม่ใช่ถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์ แต่คือความจริงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และหนังสือเล่มนี้จะทำหน้าที่เป็นหนึ่งบทบันทึกที่พาให้ผู้อ่านเข้าใจว่า วัฒนธรรมไม่ใช่เรื่องของอดีต แต่ “วัฒนธรรมคือโอกาสสำหรับอนาคต”

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: