อัลกอริทึมบีบชีวิต: กรณี 'น้องกำเงิน' และความจริงเบื้องหลังพื้นที่ไซเบอร์

กองบรรณาธิการ TCIJ 27 พ.ค. 2568 | อ่านแล้ว 146 ครั้ง


กรณีของ "น้องกำเงิน" หรือที่สื่อเรียกขานถึงหญิงสาวชาวไทยภูเขาที่ตกเป็นข่าวในประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวส่วนตัวของใครคนหนึ่ง แต่สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อนภายใต้แรงกดดันของ อัลกอริทึม บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และมุมมองที่แตกต่างของสังคมต่อ "ความผิดพลาด" ของคนในพื้นที่ที่ต่างกัน

จากอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่สู่ประเด็นร้อนบนโซเชียล

จุดเริ่มต้นของน้องกำเงิน ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางที่คล้ายกับอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่หลายคน เธออาจเริ่มต้นจากการทำคลิปวิดีโอแนว "กลับสู่บ้านเกิด" นำเสนอวิถีชีวิตธรรมชาติ ความสวยงามของชนบท ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมในระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากนั้นไม่นาน รูปแบบการนำเสนอของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มีการแต่งกายที่เปิดเผยมากขึ้น นำเสนอเนื้อหาที่หวือหวาขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ประเด็นที่กลายเป็นข่าวใหญ่ในที่สุด

จากข่าวล่าสุด ยังระบุเพิ่มเติมว่า กรณีของน้องกำเงินไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเธอคนเดียว แต่เป็น "ครอบครัวกำเงิน" ที่มีแม่และลูกหลายคน (บางข่าวระบุว่ามีลูก 9 คน) เข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำคลิปอนาจารและขายในกลุ่มลับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์

ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในโลกโซเชียลมีเดีย อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่างๆ ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วม (engagement) ยิ่งเนื้อหาที่สร้างความสนใจได้มากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นยอดไลก์ ยอดแชร์ หรือคอมเมนต์ อัลกอริทึมก็จะยิ่งผลักดันเนื้อหานั้นไปสู่ผู้คนในวงกว้างมากขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่า หากต้องการให้เนื้อหายังคงถูกมองเห็น ผู้สร้างสรรค์เนื้อหาจำนวนมากจึงรู้สึกเหมือนถูกบีบให้ต้อง "ทำอะไรที่สุดโต่งขึ้น" เพื่อเรียกยอดวิวและรักษาสถานะการเป็นที่รู้จักไว้

ช่องว่างทางโอกาส และความเสี่ยงจาก "เพศ" ในไซเบอร์

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่กรณีของน้องกำเงินหยิบยกขึ้นมาคือ "การเห็นช่องทางการทำงานจากเรื่องเพศในไซเบอร์" ในยุคที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน และโอกาสในการเข้าถึงอาชีพแบบดั้งเดิมมีจำกัดสำหรับบางกลุ่มคน การสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยมีรายงานข่าวระบุว่า ครอบครัวกำเงินสามารถสร้างรายได้จากการทำคลิปขายในกลุ่มลับ และการรับงานรีวิวสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ สูงถึงหลักแสนบาทต่อเดือน ตัวเลขรายได้ที่สูงนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่อาจผลักดันให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อเนื้อหาที่ใช้ "ความหวือหวา" ทางเพศสามารถสร้างรายได้และชื่อเสียงได้เร็วกว่า การตัดสินใจเดินไปในเส้นทางนี้จึงเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อาจขาดความรู้ความเข้าใจในผลกระทบระยะยาว หรือถูกจำกัดทางเลือกอื่นๆ

ความร้ายแรงของกรณีนี้ยังเพิ่มขึ้นเมื่อมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และตำรวจได้เข้าช่วยเหลือเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 5 คน ในครอบครัวกำเงิน เข้าคุ้มครองที่บ้านพักเด็กและครอบครัวเพชรบูรณ์ชั่วคราวแล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเด็นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็กและเยาวชน

สังคมไทยกับการให้อภัยที่แตกต่าง: กรณี "เดียร์ลอง" กับ "น้องกำเงิน"

สิ่งที่น่าสนใจและชวนตั้งคำถามอย่างยิ่งคือ ปฏิกิริยาของสังคมไทยต่อกรณีของน้องกำเงิน เมื่อเทียบกับกรณีของ "เดียร์ลอง" ที่เคยตกเป็นข่าวเรื่องเนื้อหาในลักษณะคล้ายคลึงกัน พบว่าสังคมให้อภัยเดียร์ลองได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และนี่คือจุดที่ทำให้เกิดคำถามถึง "การเหยียดเชื้อชาติ" เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างปฏิเสธไม่ได้

"เดียร์ลอง" อดีตเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ผันตัวมาเป็น Sex Creator บนแพลตฟอร์ม OnlyFans ก็เคยเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากเนื้อหาของเธอถูกนำไปเผยแพร่นอกแพลตฟอร์ม โดยเดียร์ลองเคยประกาศว่าจะย้ายไปอยู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ถาวรและจะไม่กลับมาเมืองไทยอีก อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเธอได้ประกาศยุติบทบาทการเป็น Sex Creator แล้ว โดยให้เหตุผลว่ากระทบสภาพจิตใจ และได้ตัดสินใจที่จะกลับมาอยู่ประเทศไทยถาวรแล้ว

น้องกำเงินเป็นชาวไทยภูเขา ซึ่งในสังคมไทยบางส่วนยังคงมีอคติและมุมมองที่แตกต่างกันต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ในช่วงแรก ครอบครัวกำเงิน รวมถึงตัวน้องกำเงินเอง ได้ออกมาปฏิเสธและชี้แจงว่าคลิปที่ถูกเผยแพร่เป็นการตัดต่อและไม่เป็นความจริง รวมถึงมีการปะทะคารมอย่างดุเดือดกับนักเคลื่อนไหวอย่างคุณต้นอ้อ เป็นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ข่าวล่าสุดระบุว่า ครอบครัวได้จำนนด้วยหลักฐานและยอมให้เจ้าหน้าที่ดูแลเด็กแล้ว การที่เธอถูกประณามอย่างหนัก และถูกมองว่าเป็น "ผู้กระทำความผิด" แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงบริบทและแรงกดดันทางสังคมที่เธอต้องเผชิญ อาจเป็นเพราะทัศนคติเหล่านี้แฝงอยู่

กรณีของเดียร์ลอง สังคมมักจะมองว่าเธอเป็น "เหยื่อ" ของระบบหรือผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และมีการให้กำลังใจเมื่อเธอประกาศยุติบทบาทและได้รับผลกระทบทางจิตใจ แต่สำหรับน้องกำเงิน กลับถูกตีตราด้วยคำว่า "ไร้ยางอาย" หรือ "ทำลายวัฒนธรรม" ซึ่งชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานการตัดสินที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วสะท้อนให้เห็นว่า การที่คนหนึ่งเป็นใคร มาจากไหน ยังคงมีผลต่อการรับรู้และการตัดสินของสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

*บทความนี้เขียนร่วมกับ Google Gemini

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: