UNRBHR 2025: Beyond Crisis – เมื่อชุมชนคือพลังในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจและสร้างความยุติธรรม

ศิริรุ่ง ศรีสิทธิพิศาลภพ HRDF เรียบเรียง, Fair Finance ภาพประกอบ 16 ต.ค. 2568 | อ่านแล้ว 247 ครั้ง


เวที UN Responsible Business and Human Rights Forum 2025 (UNRBHR) หัวข้อ “Beyond Crisis: Innovating Community-Led Approaches for Remedy and Corporate Accountability” สะท้อน “การขับเคลื่อนจากฐานชุมชน” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงอุดมคติ หากแต่คือพลังจริงที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ และขยายโอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อช่วงเดือน กันยายน 2568 มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) และเครือข่ายภาคประชาสังคมหลายองค์กร ได้ร่วมเวที UN Responsible Business and Human Rights Forum 2025 (UNRBHR) ในหัวข้อ “Beyond Crisis: Innovating Community-Led Approaches for Remedy and Corporate Accountability” ซึ่งได้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า “การขับเคลื่อนจากฐานชุมชน” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงอุดมคติ หากแต่คือพลังจริงที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ และขยายโอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมให้กับผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไฮไลต์จากเวทีวิทยากร

1. กรณีแรงงานข้ามชาติฟ้อง Tesco – ตัวอย่างของ การฟ้องร้องโดยชุมชน ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้เห็นถึงอำนาจของความร่วมมือระหว่างผู้ได้รับผลกระทบและองค์กรสิทธิมนุษยชน (HRDF)
2. Samta Nyay Kendra, อินเดีย – คลินิกกฎหมายที่ขับเคลื่อนการยอมรับสิทธิของ คนข้ามเพศ และส่งเสริม การจ้างงานที่เท่าเทียม (APSWDP India)
3. Community-Based Human Rights Assessment (COBHRA) – การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนโดยชุมชน ที่ทำให้ เสียงของผู้มีสิทธิอยู่ศูนย์กลาง ของการตัดสินใจ (Oxfam in Asia)
4. กลไก OECD NCP จากเกาหลีใต้ – ประสบการณ์ที่เผยให้เห็นทั้ง ข้อจำกัดและคุณค่า ของช่องทางร้องเรียนระหว่างประเทศในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (KHIS)

สาระสำคัญของการเสวนาครั้งนี้ ว่าด้วยประเด็นสำคัญอย่างการมีส่วนร่วมของผู้มีสิทธิในกระบวนการเยียวยา ช่องว่างระหว่างคำมั่นของธุรกิจกับการปฏิบัติจริง และความท้าทายในการสร้าง กลไกร้องทุกข์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งเวทีนี้จัดขึ้นโดย Oxfam in Asia, APSWDP India และ Sal Forest ร่วมกับพันธมิตรจากมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ( HRDF), มูลนิธิรักษ์ไทย และ MAP Foundation — สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดน ที่เชื่อว่าความยุติธรรมไม่ควรเป็นสิ่งที่เข้าถึงยาก แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนที่เข้าใจได้

“การฟ้องร้องไม่ใช่จุดจบของปัญหา แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนโดยคนทำงานเอง”

รวีพร ดอกไม้ (Raweeporn Dokmai) จาก Human Rights and Development Foundation (HRDF) ได้เปิดการพูดคุยด้วยหัวข้อ แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมสิ่งทอ: การฟ้องร้องที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง คุณรวีพรได้สะท้อนบทเรียนสำคัญจากกรณีแรงงานเมียนมา 136 คนที่ฟ้องบริษัทผลิตเสื้อผ้า VK Garment (VKG) ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของ Tesco ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก คดีที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติ

ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ
• ข้อเท็จจริงของคดี แรงงานต้องทำงานถึง 99 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ได้ค่าแรงเพียง 120 บาทต่อวัน และทำงานในสภาพที่ไม่ปลอดภัย
• การดำเนินคดี กลุ่มแรงงานยื่นฟ้องเรียกค่าชดเชยกว่า 34 ล้านบาท แต่ศาลไทยตัดสินให้ 6.8 ล้านบาท โดยใช้เกณฑ์คำนวณจากกฎของบริษัท ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดเชิงระบบของการเยียวยาในประเทศ
• บทบาทของภาคประชาสังคม องค์กร HRDF ร่วมกับทีมกฎหมายจากสหราชอาณาจักร ให้การสนับสนุนแรงงานตลอดกระบวนการ ทั้งด้านความเข้าใจทางกฎหมายและการเสริมพลัง (empowerment) ให้พวกเขาเป็นผู้ปกป้องสิทธิของตนเอง
• ความท้าทายที่พบ แรงงานข้ามชาติมักถูกละเมิดสิทธิ เช่น การจ่ายค่าแรงต่ำ การบังคับทำงานเกินเวลา และการถูกบังคับให้เซ็นเอกสารเท็จเพื่อหลอกผู้ตรวจสอบโรงงาน
• ผลลัพธ์และความหมาย แม้คดีจะดำเนินมากว่า 5 ปี แต่ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญ ทำให้แรงงานตระหนักในสิทธิของตนเอง และเปิดพื้นที่ให้เครือข่ายระดับโลกช่วยกันขับเคลื่อนประเด็นนี้ให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง
• เป้าหมายระยะยาว ใช้กรณีนี้เป็นแรงผลักให้เกิด มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลในห่วงโซ่อุปทาน (global supply chain) เพื่อให้บรรษัทข้ามชาติรับผิดชอบต่อแรงงานทุกคน ไม่ว่าธุรกิจจะดำเนินอยู่ที่ใด

“เมื่อชุมชนได้เป็นผู้นำในการประเมิน เราจะไม่เพียงได้ข้อมูลที่แท้จริงขึ้น — แต่ยังได้การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนมากกว่าเดิม”

รภัสสา ไตรรัตน์ ตำแหน่ง Private Sector Programme Manager, Oxfam in Asia นำเสนอ หัวข้อคืนอำนาจให้ชุมชนด้วยเครื่องมือ “การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่นำโดยชุมชน” (Community-Led Human Rights Impact Assessment – CLHRIA / COBRA) คุณรภัสสา ได้นำเสนอเครื่องมือ COBRA หรือ Community-Led Human Rights Impact Assessment ที่พัฒนาโดย Oxfam in Asia เพื่อให้ชุมชนเป็นผู้นำในการประเมินผลกระทบของกิจกรรมทางธุรกิจต่อสิทธิมนุษยชนของตนเอง ไม่ใช่แค่ “ถูกประเมิน” แต่ “ประเมินด้วยตนเอง”

ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ หลักการของเครื่องมือ COBRA เป็นการประเมินที่ คู่ขนานกับสิ่งที่บริษัทดำเนินการ เพื่อสะท้อนมุมมองของผู้ถือสิทธิ (rights-holders) อย่างแท้จริง มุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในฐานะ “ผู้ถือสิทธิ” ไม่ใช่เพียง “ผู้ได้รับผลประโยชน์” เสริมพลังให้ชุมชนเข้าถึง เครื่องมือและความรู้ ในการปกป้องสิทธิตนเอง โดยช่วยระบุว่ากลุ่มใดได้รับผลกระทบมากที่สุด และผลกระทบนั้นมีลักษณะอย่างไร เน้นการเปิดพื้นที่ให้ชุมชนและแรงงานสามารถพูดคุยกับบรรษัทอย่างเท่าเทียม เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมร่วมกัน

กระบวนการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย (Meaningful Participation)
• ต้องเริ่มตั้งแต่ ต้นกระบวนการ ก่อนที่โครงการหรือกิจกรรมของบริษัทจะเริ่ม
• ไม่ใช่การ “ขูดรีดข้อมูล” จากชุมชน แต่เป็น การแลกเปลี่ยนความรู้สองทาง
• ให้เวลาแก่ชุมชนในการทำความเข้าใจและพูดคุยร่วมกัน แทนที่จะสัมภาษณ์รายบุคคลซึ่งอาจทำให้แรงงานไม่กล้าแสดงความเห็น
• ใช้ ภาษาที่ชุมชนเข้าใจได้จริง — ยกตัวอย่างในลาตินอเมริกา ที่การใช้ภาษาอังกฤษโดยบริษัททำให้ชุมชนไม่เข้าใจและไม่สามารถมีส่วนร่วมได้
• บทบาทของ NGO หรือ INGO ควรเป็น ผู้สนับสนุน (facilitator) ไม่ใช่ผู้ชี้นำหรือแทนที่เสียงของชุมชน

เป้าหมายสูงสุดของ COBRA เพื่อ “คืนอำนาจให้กับผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด” ให้พวกเขามีสิทธิ์ในการกำหนดแนวทางการเยียวยาและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง เพราะความยุติธรรมที่แท้จริงต้องเริ่มจากเสียงของผู้ที่ถูกกระทบโดยตรง

“ความเท่าเทียมไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิ แต่คือรากฐานของสังคมที่ทุกคนมีที่ยืน และมีโอกาสใช้ศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่”

ราจีฟ กุมาร (APSWDP อินเดีย) จากคลินิกให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย Samta Nyay Kendra ได้กล่าวในเวทีนี้ในหัวข้อ: นวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม: คลินิกกฎหมายสำหรับคนข้ามเพศในอินเดีย ซึ่งกำลังก้าวหน้าในการส่งเสริมสิทธิของคนข้ามเพศ ผ่านการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย การจ้างงานที่ครอบคลุมความหลากหลาย และรูปแบบการเสริมพลังที่สามารถขยายผลได้ ใช้แนวทางการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากฐานชุมชน เพื่อให้กลุ่มคนข้ามเพศในอินเดียเข้าถึงสิทธิและโอกาสอย่างเท่าเทียมในทุกมิติของชีวิต

ประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ เขาได้เล่าถึงสถานการณ์ปัญหาที่เผชิญของกลุ่มคนข้ามเพศในอินเดียถูกเลือกปฏิบัติและคุกคามในหลายรูปแบบ ทั้งในด้าน การเข้าถึงกฎหมาย การศึกษา การสาธารณสุข และตลาดแรงงาน ซึ่งทำให้พวกเขายังคงถูกผลักให้อยู่นอกระบบ ซึ่งทางกลุ่มเครือข่ายได้ใช้แนวทางแก้ไขเชิงนวัตกรรม “การก่อตั้ง คลินิกกฎหมายฟรี” ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โดยมี 4 วัตถุประสงค์หลัก 1) ช่วยให้กลุ่มคนข้ามเพศเข้าถึงเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชนและบัตรเลือกตั้ง 2) สร้างความตระหนักรู้และการยอมรับในสังคม 3) ส่งเสริมเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน ผ่านการสร้างรายได้และอิสระทางการเงิน และ 4) สร้างความยั่งยืนระยะยาวผ่านความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 3 ปี คลินิกให้คำปรึกษาแก่ 180 คน และช่วยเหลือ 200 กรณี ในการเข้าถึงเอกสารทางราชการที่จำเป็น สนับสนุนการจ้างงาน และได้รับ รางวัลระดับประเทศ จนโมเดลนี้ถูกขยายไปตั้งคลินิกเพิ่มอีก 5 แห่งในภาคใต้ของอินเดีย

ความหมายที่ลึกกว่ากฎหมาย คลินิกให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย Samta Nyay Kendra กล่าวว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงการให้บริการด้านกฎหมาย แต่เป็นการสร้างพื้นที่แห่งศักดิ์ศรี ที่เชื่อมโยงระหว่าง สิทธิมนุษยชน ธุรกิจ และความเท่าเทียมทางสังคม เพื่อให้การจ้างงานในอนาคต “เปิดกว้างและเท่าเทียมสำหรับทุกคน”

“กลไกอย่าง NCP อาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นก้าวแรกของการสร้างความรับผิดชอบในโลกธุรกิจ ที่จะต้องพัฒนาให้เป็นระบบที่ฟังเสียงผู้เสียหายได้จริง”

ฮยอนพิล นา Hyunpil Na (KHIS, เกาหลีใต้) นักพัฒนาสังคม ได้กล่าวถึงหัวข้อ กลไกจุดประสานงานแห่งชาติของ OECD (OECD National Contact Point: NCP) และได้นำเสนอบทเรียนจากกลไก NCP ของ OECD ในเกาหลีเผยให้เห็นทั้งข้อจำกัดและคุณค่าในการช่วยดึงความสนใจไปที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านบทเรียนจากเกาหลีใต้

คุณ Hyunpil Na ได้นำเสนอประสบการณ์จากการทำงานภายใต้ กลไก OECD National Contact Point (NCP) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสมาชิก OECD เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยบริษัทข้ามชาติ โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศสมาชิกตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งประเด็นสำคัญจากการนำเสนอ เพื่อชี้ให้เห็นบทบาทของ NCP ที่ทำหน้าที่เป็น เวทีกลางสำหรับการเจรจาและการไกล่เกลี่ย ระหว่างผู้ร้องเรียนกับบริษัทที่ถูกกล่าวหา ไม่ได้เป็นกระบวนการยุติธรรมแบบศาล แต่เป็นช่องทางหนึ่งในการผลักดันให้เกิดความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสิทธิมนุษยชน

ความท้าทายของ NCP เกาหลีใต้ ที่เสนอในเวทีนี้ คือ จนถึงปัจจุบัน NCP ของเกาหลี ยังไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่ผู้ร้องเรียนได้มีกรณีศึกษาที่โดดเด่น เช่น กรณี Post-Core India กรณีการลงทุนของบริษัทเกาหลีในเมียนมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับคณะรัฐประหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ยังได้สะท้อนถึงข้อจำกัดของ NCP เช่น ขาดทรัพยากรและอำนาจบังคับใช้ ไม่มีระบบติดตามหรือประเมินผลการทำงานของ NCP แต่ละประเทศ ทำหน้าที่เป็นเพียง “พื้นที่เจรจา” มากกว่ากระบวนการยุติธรรมที่สามารถลงโทษหรือเยียวยาได้จริง และข้อเสนอและแนวทางข้างหน้า คุณ Hyunpil Na เสนอให้ประเทศในภูมิภาค เช่น ไทยและอินโดนีเซีย พิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD เพื่อจะได้มี กลไก NCP ของตนเอง ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ จากสถานการณ์ในเกาหลีใต้ ปัจจุบันมีความพยายามผลักดัน กฎหมาย Human Rights Due Diligence (HRDD) เพื่อให้บริษัทต้องตรวจสอบความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนี้ยังมุ่งเน้นเพียงบริษัทขนาดใหญ่ และเน้นการ “ป้องกันการละเมิดในอนาคต” มากกว่าการ “เยียวยาผู้เสียหายในปัจจุบัน”

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: