
The Diplomat วิเคราะห์สถานการณ์ชี้ว่าการบุกโจมตีฐานที่ตั้งแก๊งสแกมเมอร์ของกองทัพไทยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริบทความขัดแย้ง แต่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการปะทะ โดยมีปัจจัยด้านการเมืองภายในของทั้งสองประเทศและการส่งต่ออำนาจของตระกูลฮุนเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการหายไปจากหน้าสื่อของ ฮุน มาเนต ในช่วงวิกฤต
การยกระดับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้ถือเป็นความเสื่อมถอยของความสัมพันธ์ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แม้ความสนใจส่วนใหญ่จะอยู่ที่สถานการณ์ชายแดน แต่ประเด็นเรื่องอำนาจการนำในกัมพูชาและการพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจหลอกลวงออนไลน์ กลับเป็นแง่มุมสำคัญที่ช่วยอธิบายที่มาของความขัดแย้ง เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ช่วงปี 2008-2011 ที่ ฮุน มาแนต ถูกผลักดันให้มีบทบาทนำเพื่อสร้างฐานอำนาจ แต่ในวิกฤตปี 2025 นี้เขากลับหายไปจากการรับรู้ของสื่ออย่างน่าสงสัย โดยเป็น ฮุน เซน ที่ปรากฏตัวอย่างชัดเจนในการสั่งการจาก "ห้องวอร์รูม" และกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะ ซึ่งสะท้อนว่า ฮุน เซน ยังไม่เคยสละอำนาจให้บุตรชายอย่างแท้จริงนับตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2023 การหายไปของ ฮุน มาเนต ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของเขาในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อพรรครัฐบาลกัมพูชา (Cambodian People’s Party - CPP) ต้องพึ่งพาการควบคุมกองทัพเป็นหลัก
ในมิติด้านปฏิบัติการ กองทัพไทยได้พุ่งเป้าโจมตีฐานที่ตั้งของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ตามแนวชายแดนในจังหวัดอุดรมีชัยและโพธิสัตว์ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับ ลี ยง พัด สมาชิกวุฒิสภา และ ไตร เพียบ อดีตที่ปรึกษาของ ฮุน เซน แม้กองทัพไทยจะอ้างว่าพื้นที่เหล่านี้ถูกใช้เป็นคลังอาวุธหรือฐานปฏิบัติการทางทหารแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด การโจมตีดังกล่าวนอกจากจะมีจุดประสงค์ทางทหารแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลกัมพูชาและกลุ่มนายทุนที่ใกล้ชิด เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้สร้างกำไรมหาศาลให้แก่ผู้มีอำนาจ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่มีอยู่ไม่สนับสนุนข้ออ้างที่ว่าขบวนการสแกมเมอร์เป็น "สาเหตุ" ของสงคราม เนื่องจากกองทัพไทยเพิ่งจะเริ่มปรับเปลี่ยนคำบอกเล่าให้เป็นการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติในวันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งเป็นเวลา 10 วันหลังจากเริ่มการสู้รบไปแล้ว
สาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งมีความน่าจะเป็นว่ามาจากพลวัตทางการเมืองภายในของทั้งสองประเทศที่ใช้การเผชิญหน้าภายนอกเพื่อสร้างกระแสสนับสนุนในสภาวะที่รัฐบาลเผชิญความท้าทายด้านความชอบธรรม รวมถึงกระแสชาตินิยมที่มักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ นอกจากนี้ แรงกดดันจากนานาชาติทั้งจีน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอาเซียน ที่ต้องการให้จัดการกับฐานที่ตั้งสแกมเมอร์ก็มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยปรับเปลี่ยนท่าทีให้สอดรับกับการมาเยือนของ หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนที่มีบทบาทนำในการปราบปรามขบวนการเหล่านี้ จึงสรุปได้ว่าแม้ปฏิบัติการสแกมเมอร์จะเป็นบริบทสำคัญ แต่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือการคำนวณทางการเมืองภายในและการส่งต่ออำนาจของชนชั้นนำในกัมพูชามากกว่า
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ

