
รายงานพิเศษจาก The Conversation บทเรียนจากประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศโดยครูศูนย์เด็กเล็กที่สร้างความสั่นสะเทือนในออสเตรเลีย ต่อมาสื่อ ABC ได้สืบสวนภาคส่วนดูแลเด็กและพบอีกหลายร้อยคดีที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กด้วยกันเอง แต่พ่อแม่หลายคนบอกกับ ABC ว่าความกังวลของพวกเขาไม่ได้รับความสนใจจากศูนย์เด็กหรือตำรวจ เพราะมันเกิดขึ้นระหว่างเด็กด้วยกัน แล้วพฤติกรรมทางเพศของเด็กแบบไหนที่เป็นเรื่องปกติ และแบบไหนที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิด เราจะเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไรให้มันไม่เกิดขึ้นอีก | ที่มาภาพ: Imperfect Families/Enrique Ramos
เรื่องข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศโดยครูในศูนย์เด็กเล็กสั่นสะเทือนออสเตรเลียมาหลายเดือนแล้วในช่วงปี 2025 ล่าสุดสื่อ ABC ได้สืบสวนภาคส่วนดูแลเด็กและพบอีกหลายร้อยคดีที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กด้วยกันเอง
แต่พ่อแม่หลายคนบอกกับ ABC ว่าความกังวลของพวกเขาไม่ได้รับความสนใจจากศูนย์เด็กหรือตำรวจ เพราะมันเกิดขึ้นระหว่างเด็กด้วยกัน
แล้วพฤติกรรมทางเพศของเด็กแบบไหนที่เป็นเรื่องปกติ และแบบไหนที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิด เราจะเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไรให้มันไม่เกิดขึ้นอีก
การล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกันคืออะไร?
เหตุการณ์แบบนี้ยากที่จะระบุและบรรยายได้ชัดเจน ผู้ปฏิบัติงานและนักวิจัยมักใช้คำว่าพฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตราย เพื่อรับรองว่าพฤติกรรมที่ก้าวร้าวอาจเกิดจากความบอบช้ำทางจิตใจในวัยเด็ก และเพื่อหลีกเลี่ยงการตีตราเด็กที่ทำร้ายทางเพศ
แต่จากงานวิจัยที่สัมภาษณ์เด็กที่เคยประสบเหตุการณ์นี้ พบว่าพวกเขามักชอบใช้คำว่าการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกันมากกว่า ดูเหมือนคำนี้จะเป็นคำที่ผู้คนใช้เวลาขอความช่วยเหลือและหาข้อมูลบนแพลตฟอร์มอย่าง Reddit และในหมู่กลุ่มสนับสนุนเด็กที่เคยโดนทำร้าย
นักวิชาการแบ่งพฤติกรรมทางเพศของเด็กออกเป็น 3 ระดับ คือ ปกติ มีปัญหา และเป็นอันตราย
ในวัยก่อนเข้าโรงเรียน พฤติกรรมทางเพศปกติอาจเป็นการเล่นบ้านบ้านหรือใช้คำหยาบให้ตลก พฤติกรรมทางเพศที่มีปัญหาอาจหมายถึงเด็กพยายามเปิดเผยอวัยวะเพศของตนเองหรือของเด็กคนอื่น หรือพยายามดึงพี่น้องหรือคนอื่นให้เล่นช่วยตัวเอง พฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตรายอาจเกี่ยวข้องกับการบังคับเด็กคนอื่นให้ทำการสอดใส่ เช่น การใช้ปากในทางเพศ หรือบีบบังคับเด็กคนอื่นให้เล่นเกมทางเพศ
เด็กที่เคยถูกล่วงละเมิดแบบนี้อาจรู้สึกสับสนกับประสบการณ์ของตนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองมีส่วนร่วมด้วย หรือเพราะผู้ใหญ่ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง ผู้ใหญ่อาจมองว่าเป็นการสำรวจหรือทดลองตามปกติของเด็ก
แต่การล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกันไม่ใช่เรื่องปกติ ผลกระทบต่อเด็กที่ถูกทำร้ายร้ายแรงและติดตัวไปตลอดชีวิต เทียบเท่ากับการล่วงละเมิดทางเพศโดยผู้ใหญ่เลยทีเดียว
ทำไมมันถึงเกิดขึ้น
ความจริงแล้วเรารู้น้อยมากเกี่ยวกับเด็กเล็กในออสเตรเลียที่มีพฤติกรรมทางเพศที่มีปัญหา
หลักฐานที่มีแสดงว่าครูในศูนย์เด็กเล็กมักได้รับการอบรมเรื่องการรายงานภาคบังคับเกี่ยวกับการล่วงละเมิดเด็ก แต่ไม่มีการอบรมเฉพาะเรื่องวิธีจับสัญญาณและเข้าไปช่วยเหลือเมื่อเกิดการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกัน
การศึกษาหนึ่งจากสหรัฐอเมริกาในปี 2002 ติดตามเด็กวัยอนุบาล 37 คนที่มีพฤติกรรมทางเพศที่มีปัญหา พบว่าเป็นเด็กหญิงมากกว่า 65% และเด็กชาย 35% ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อมูลในเด็กวัยเรียน และแม้เรารู้ว่าพฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตรายอาจมาจากการถูกล่วงละเมิด แต่เด็กหลายคน 62% ไม่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่เคยสัมผัสกับเรื่องเพศในรูปแบบอื่น 35% เคยเห็นภาพลามกอนาจาร และ 27% เคยเห็นพ่อแม่มีเพศสัมพันธ์กัน
การเข้าไปช่วยเหลือควรทำอย่างไร
หลักฐานบางส่วนบอกว่าเด็กส่วนใหญ่ที่แสดงพฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตรายไม่ได้โตมาเป็นผู้ก่อเหตุล่วงละเมิดในวัยผู้ใหญ่ นี่เป็นจริงเมื่อเด็กได้รับการบำบัดจากผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตรายในเด็ก เช่น นักสังคมสงเคราะห์ นักให้คำปรึกษา หรือนักจิตวิทยา
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทำงานกับเด็กและครอบครัว จัดทำแผนความปลอดภัย และช่วยให้เข้าใจว่าพฤติกรรมก้าวร้าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไม รวมถึงทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการล่วงละเมิดในอนาคต
แต่ยังขาดความเข้าใจว่าควรระบุและแก้ไขปัญหาที่กำลังขยายตัวนี้อย่างไรให้ดีที่สุด กรอบแนวทางระดับชาติสำหรับจัดการกับเด็กที่มีพฤติกรรมทางเพศที่เป็นอันตรายจะช่วยชี้แนะการปฏิบัติทางคลินิกเมื่อ National Office for Child Safety ออกมา แต่ยังไม่ทราบว่าจะออกมาเมื่อไหร่
นักวิชาการได้ช่วยพัฒนาโปรแกรมจัดการกับการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกันชื่อว่า Power to Kids in Schools โปรแกรมนี้ฝึกครูให้รู้วิธีสนทนาแบบกล้าหาญเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพ การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ และความปลอดภัยทางเพศ
นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูระบุพฤติกรรมทางเพศที่มีปัญหาและเป็นอันตราย และเข้าไปช่วยได้อย่างเหมาะสม เช่น ครูอาจสังเกตพฤติกรรมเปลี่ยนไปและถามตรงๆ ว่าเด็กกำลังถูกล่วงละเมิดหรือแสวงหาประโยชน์จากเด็กคนอื่นหรือไม่
โปรแกรมแบบนี้สามารถปรับใช้ในศูนย์เด็กเล็กได้ และช่วยเติมเต็มช่องว่างให้ครูเข้าใจดีขึ้นว่าจะเข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจังได้อย่างไร
ขณะนี้มีการพัฒนาเว็บไซต์และสายด่วนชื่อ What's OK? Australia ซึ่งดัดแปลงจากโมเดลที่ประสบความสำเร็จในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา เด็กวัยเรียนและวัยรุ่นจะสามารถขอความช่วยเหลือแบบไม่เปิดเผยตัวตนได้ ถ้าพวกเขากังวลเกี่ยวกับความคิดและพฤติกรรมทางเพศของตนเอง
สิ่งที่ควรทำ
การล่วงละเมิดทางเพศระหว่างเด็กด้วยกันเกิดขึ้นได้ทุกที่กับเด็กทุกคน ขณะนี้มีรูปแบบที่น่าตกใจอย่างยิ่งกำลังเกิดขึ้น ซึ่งโหดร้ายทารุณและมักเกิดจากกลุ่มเด็กชายวัยรุ่นและชายหนุ่ม
ในวัยเด็กตอนต้น สิ่งที่ช่วยปกป้องได้ดีที่สุดคือสอนเด็กเรื่องความปลอดภัยของร่างกาย ทำได้ทุกวัย แม้เด็กยังพูดไม่ได้
แต่สิ่งสำคัญพอๆ กันคือต้องจัดการกับสาเหตุรอบข้าง เช่น ไม่ให้เด็กเข้าถึงสื่อลามกอนาจาร และแพลตฟอร์มที่อาจนำไปสู่การล่วงละเมิดทางเพศ
ในฐานะผู้ใหญ่ ทุกคนต้องรับผิดชอบเรียนรู้เกี่ยวกับการล่วงละเมิดรูปแบบนี้และจับตาดูอยู่เสมอ
ถ้าเด็กบอกว่าถูกเด็กคนอื่นล่วงละเมิดทางเพศ อย่าเพิกเฉย เชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด และต้องดำเนินการแก้ไขทันที
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ

