เหตุฆาตกรรมผู้หญิง 3 รายอย่างโหดเหี้ยมในอาร์เจนตินาเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 ได้กระตุ้นให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมและกลุ่มสตรีนิยมรวมตัวกันเดินขบวนครั้งใหญ่ในกรุงบัวโนสไอเรส โดยมีผู้ประท้วงหลายพันคนออกมาเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง และกล่าวหารัฐบาลของประธานาธิบดีฮาเวียร์ ไมเล ว่ามีส่วนรับผิดชอบทางอ้อม จากการตัดนโยบายทางสังคมและนโยบายเพศสภาพ ซึ่งทำให้รัฐขาดความโดดเด่นในพื้นที่ยากจนและเกิดช่องว่างให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น | ที่มาภาพ: Patria Grande/Peoples Dispatch
เว็บไซต์ Peoples Dispatch รายงานว่า ช่วงปลายเดือนกันยายน 2025 ผู้คนหลายพันคนได้ออกมาประท้วงตามท้องถนนในกรุงบัวโนสไอเรส เพื่อแสดงความโกรธแค้นและความเศร้าโศกต่อกรณี "Triple Femicide" หรือการฆาตกรรมสตรี 3 ศพ ได้แก่ โมเรนา เวิร์ดี้ (Morena Verdi) และ เบรนด้า เดล คาสติลโล (Brenda del Castillo) หญิงสาววัย 20 ปีทั้งคู่ รวมถึง ลารา กูเตียร์เรซ (Lara Gutiérrez) เด็กหญิงวัย 15 ปี ซึ่งถูกพบว่าถูกชำแหละศพ
เจ้าหน้าที่ระบุว่าอาชญากรรมครั้งนี้เป็นเพียงการแก้แค้นของกลุ่มอาชญากร แต่กลุ่มนักวิเคราะห์และนักเคลื่อนไหวชี้ว่าอาชญากรรมนี้มีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของความรุนแรงและการค้ายาเสพติดในอาร์เจนตินา
คาร์ลา ซาอาเบดรา ป้าของผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง กล่าวกับสำนักข่าว CNN ว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่ากลัว มันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน ไม่ใช่แค่ครอบครัวของเรา มันเกิดขึ้นกับพวกเราทุกคนในฐานะสังคม"
กลุ่มนักเคลื่อนไหวสตรีนิยม นำโดยกลุ่ม Ni Una Menos (ไม่น้อยไปกว่าหนึ่งคน) ได้นำการประท้วงครั้งใหญ่ โดยปฏิเสธความคิดเห็นที่บ่งชี้ว่าเหยื่อทั้งสามมีส่วนรับผิดชอบเนื่องจากอาชีพหรือพื้นที่ที่พบศพ โดยระบุในโซเชียลมีเดียว่า "ไม่มีเหยื่อที่ดีหรือไม่ดี มีแต่การฆ่าสตรี (femicides) มีแต่หญิงสาวผู้ยากไร้ที่ถูกฆ่า รัฐต้องรับผิดชอบ"
นักวิเคราะห์และนักกิจกรรมกล่าวว่า อาชญากรรมนี้มีความเชื่อมโยงกับนโยบายเสรีนิยมใหม่ของรัฐบาลไมเล ที่ทำให้บทบาทของรัฐลดลง, ยกเลิกนโยบายทางสังคมและเพศสภาพ และทำให้รัฐสูญเสียความโดดเด่นในพื้นที่ยากจน
กลุ่มนักเคลื่อนไหว Ni Una Menos ระบุว่า “การฆาตกรรมหญิงสาวสามศพนี้เกิดขึ้นในบริบทที่ ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ ทำให้เครือข่ายการค้ายาเสพติดเติบโต และทำลายองค์กรรากหญ้า” การถอนตัวอย่างแข็งกร้าวของรัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาชญากรรมต่อบุคคลโดยทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหญิงสาว
การเดินขบวนครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับการรักษาความปลอดภัยของตำรวจจำนวนมาก และมีรายงานว่า ตำรวจใช้โล่ปราบจลาจลเข้าโจมตีผู้ประท้วง การปราบปรามการระดมพลนี้ยิ่งเพิ่มการประณามต่อรัฐบาลไมเลมากขึ้น
การประท้วงครั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์ของขบวนการสตรีนิยมอาร์เจนตินา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อตั้งขบวนการ Ni Una Menos ในวันที่ 3 มิถุนายน 2015 ซึ่งเกิดขึ้นหลังการเสียชีวิตของเด็กหญิงวัย 14 ปี ซึ่งถูกแฟนหนุ่มของเธอฆาตกรรม โดยการเรียกร้องดังกล่าวได้ขยายไปทั่วลาตินอเมริกาและสเปน
ขบวนการนี้มีความสำคัญในการเน้นย้ำถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่นำไปสู่ความรุนแรงต่อสตรี ซึ่งก่อนหน้านี้มักถูกสื่อกระแสหลักนำเสนอว่าเป็นเพียง "อาชญากรรมจากความรัก" (crimes of passion) นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องของ Ni Una Menos ยังเชื่อมโยงกับการต่อสู้เพื่อสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิในการทำแท้ง ซึ่งต่อมาได้รับการรับรองเป็นกฎหมายในเดือนธันวาคม 2020
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้ยังคงสร้างแรงต้านทานอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มอนุรักษนิยม และล่าสุดคือโครงการทางการเมืองของประธานาธิบดีฮาเวียร์ ไมเล เอง ซึ่งได้ ตัดงบประมาณนโยบายสาธารณะทั้งหมดที่มุ่งเน้นด้านเพศสภาพ และดำเนินการรณรงค์ต่อต้านกลุ่มสตรีนิยมและกลุ่ม LGBTQ+ อย่างแข็งขัน โดยครั้งหนึ่งนายไมเลเคยกล่าวที่ดาวอสว่า การต่อสู้ที่ "ไร้สาระและไม่เป็นธรรมชาติระหว่างชายและหญิง... มีแต่ขัดขวางความก้าวหน้าและสร้างงานให้กับข้าราชการ"
ด้วยเหตุนี้ ขบวนการสตรีนิยมส่วนใหญ่ในอาร์เจนตินา จึงประกาศจะยืนหยัดเรียกร้องต่อไป ไม่เพียงแต่ต่อต้านฆาตกรเท่านั้น แต่ยังต่อต้านรัฐบาลปัจจุบันที่พยายามบ่อนทำลายอิทธิพลทางสังคมและการเมืองที่พวกเขาได้รับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาด้วย
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ