ความท้าทายของ 'การทำให้ง่ายเกินไป' และ 'เกมมิฟิเคชัน'

วรกมล องค์วานิชย์ 2 พ.ย. 2568 | อ่านแล้ว 138 ครั้ง


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นเกี่ยวกับการทำให้เนื้อหาง่ายเกินไป (oversimplification) และการนำเกมมาใช้ในการเรียนการสอน (gamification) ได้รับการหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์ปัญหาและผลกระทบของแนวทางการสอนดังกล่าวต่อคุณภาพการศึกษา โดยอิงจากประสบการณ์และข้อสังเกตจากสนามการศึกษาจริง

ปัญหาความสามารถในการรับฟังและจดจ่อที่ลดลง

ปัญหาสำคัญประการแรกคือนักเรียนขาดความสนใจในการฟังการบรรยายเนื้อหาที่มีความซับซ้อน แม้ว่าครูผู้สอนจะพยายามหาเทคนิคต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจ แต่ความเป็นจริงแล้ว เนื้อหาบางส่วนจำเป็นต้องใช้สมาธิในการทำความเข้าใจและไม่สามารถลดทอนความซับซ้อนได้ ด้วยลักษณะของเนื้อหาที่ต้องอาศัยการบรรยาย การเปิดสไลด์ และการอธิบาย

เมื่อนักเรียนคุ้นเคยกับรูปแบบการเรียนที่ง่ายและสนุกสนาน การกลับมาสู่การเรียนแบบดั้งเดิมที่ต้องฟังบรรยาย ทำโจทย์ และฝึกคิดเขียน กลับทำให้นักเรียนไม่สามารถจดจ่อได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต เนื่องจากการฟังและการจับใจความเป็นทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิต

ผลกระทบของระบบรางวัลและการแข่งขันต่อนักเรียนที่หลากหลาย

แนวทางการสอนในปัจจุบันมักเน้นการใช้รางวัล (reward) การกระตุ้นความตื่นเต้น และการแข่งขันในชั้นเรียน วิธีการนี้แม้จะดึงดูดนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบการเรียนผ่านเกม แต่กลับทิ้งนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบรูปแบบดังกล่าว

โดยเฉพาะนักเรียนที่มีบุคลิกแบบเก็บตัวหรืออินโทรเวิร์ต ซึ่งต้องใช้พลังงานมากในการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม การเล่นเกม และการแข่งขันในชั้นเรียน จนอาจรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเข้าสังคม ส่งผลให้ไม่ได้รับความรู้เท่าที่ควร ประเด็นที่ควรพิจารณาคือ เราจะจัดการอย่างไรเพื่อไม่ให้นักเรียนกลุ่มนี้รู้สึกว่าตนเองเป็นปัญหา เพียงเพราะไม่ชอบรูปแบบการสอนที่เน้นเกมและกิจกรรมกลุ่ม

ความสำคัญของพื้นฐานที่แข็งแรงเหนือการลดทอนเนื้อหา

การทำให้เนื้อหาง่ายขึ้นเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ไม่ควรเป็นการตัดทอนส่วนสำคัญออกไป แนวทางที่เหมาะสมคือการค่อยๆ ปูพื้นฐานอย่างมั่นคง ตามหลักการที่ว่า หากพื้นฐานแข็งแรง การเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อนก็จะไม่ยากนัก

ประสบการณ์จากการสอนในระดับประถมและมัธยมศึกษาแสดงให้เห็นว่า นักเรียนที่มีพื้นฐานแข็งแรงสามารถก้าวหน้าไปในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ระบบการศึกษาไทยมักมีแนวโน้มละเลยการสอนพื้นฐาน โดยเน้นนำเนื้อหาที่ยากมาทำให้ง่าย ในขณะที่เนื้อหาพื้นฐานที่ควรสอนให้เข้าใจอย่างถ่องแท้กลับไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างมีประสิทธิภาพ

ผลที่ตามมาคือ เมื่อนักเรียนเข้าสู่ระดับมัธยมปลายหรือระดับอุดมศึกษา พวกเขาจำนวนมากต้องกลับไปทบทวนเนื้อหาตั้งแต่ระดับมัธยมต้นถึงมัธยมปลายใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไม่เข้าใจแก่นแท้ (core) ของสิ่งที่กำลังเรียน

การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและวิธีการดั้งเดิม

การพยายามหาแนวทางการสอนใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน แต่ไม่จำเป็นต้องละทิ้งวิธีการพื้นฐานในการสอน เช่น การบรรยาย การอธิบาย หากมองว่าวิธีการสอนเป็นเครื่องมือ ก็ควรเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน เช่นเดียวกับการขุดดินที่ต้องใช้จอบเสียม ไม่ใช่เทคโนโลยีทุกอย่าง

ความรู้เปรียบเสมือนดินที่ต้องใช้เวลาขุดค้นอย่างอดทน จึงจะสามารถเข้าถึงความลึกซึ้งได้ การศึกษาที่มีคุณภาพจำเป็นต้องสมดุลระหว่างการใช้นวัตกรรมการสอนกับการรักษาวิธีการพื้นฐานที่ได้ผลดี รวมถึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคนด้วย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: