ขยายผลจับกุมหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินขายข้อมูลส่วนบุคคลรายชื่อละ 1 บาท

กองบรรณาธิการ TCIJ 16 ก.พ. 2567 | อ่านแล้ว 3120 ครั้ง

ขยายผลจับกุมหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินขายข้อมูลส่วนบุคคลรายชื่อละ 1 บาท

ตำรวจไซเบอร์ ขยายผลจับกุมหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงิน ลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ลูกค้าเครดิตดีให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ราคารายชื่อละ 1 บาท

เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2567 ณ อาคารสัมมนาและฝึกอบรมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เมืองทองธานี) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) นำโดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) นำโดย ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล, พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบและกำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ ร.ท.ฐานนันดร สำราญสุข หัวหน้าศูนย์ PDPC Eagle Eye

และกองบัญชาการตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) นำโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.จิระวัฒน์ พยุงธรรม, พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวกรณีขยายผลจับหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินลอบค้าข้อมูลส่วนบุคลของลูกค้า พบหลุดไปถึงมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

จาก กรณีที่ตำรวจไซเบอร์ได้จับกุมผู้ต้องหาลักลอบขายข้อมูลส่วนบุคคล และทำการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำผิดเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยประสานข้อมูลการสืบสวนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส)

โดย พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ ผอ.สำนักตรวจสอบและกำกับดูแล, PDPC Eagle Eye และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย PDPA ตรวจสอบขยายผลเพื่อดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ให้ครบถ้วนทั้งตัวผู้กระทำผิดและมีมาตราการทางปกครองต่อหน่วยหรือสถาบันที่แหล่งข้อมูลมีการรั่วไหลเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน

จนสืบทราบเพิ่มเติมอีกว่า มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อสถาบันการเงินเอกชนแห่งหนึ่ง คือ นายสุวรรณฯ อายุ 42 ปี ชาว จ.นนทบุรี มีพฤติกรรมลักลอบนำข้อมูลลูกค้าของสถาบันการเงินตนเอง มาดัดแปลง แก้ไข และนำไปจำหน่ายต่อให้กลุ่มที่สนใจ อาทิ ตัวแทนสินเชื่อ ตัวแทนประกัน และยังพบข้อมูลว่า มีบางกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.5 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับนายสุวรรณฯ ในความผิดฐาน “ล่วงรู้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้นำไปเปิดเผยแก่ผู้อื่น, ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วนซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ” ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

ต่อมาวันที่ 7 ก.พ.67 ชุดสืบสวน กก.3 บก.สอท.5 จึงได้นำหมายค้นศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าดำเนินการตรวจค้นบ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ ซอย 11 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พบนายสุวรรณพักอาศัยอยู่ในบ้าน ผลการตรวจค้น พบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์พกพา และโทรศัพท์มือถือที่เก็บไฟล์ภาพข้อมูลของลูกค้าและประชาชน ที่ตนเองซื้อขายข้อมูลมาจากบุคคลอื่น และข้อมูลของลูกค้าที่ตนเองถือเก็บไว้

เบื้องต้น นายสุวรรณ ยอมรับว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อในการประสานงานกับลูกค้า จึงมีการเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ส่วนหนึ่ง โดยทำการจดบันทึกและจัดทำเป็นไฟล์เอกสาร แล้วจึงนำไปจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มนายหน้าประกัน หรือนายหน้าสินเชื่อของสถาบันการเงินอื่นๆ

โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งนายสุวรรณจะทยอยนำรายชื่อลูกค้าประมาณ ครั้งละ 3,000 – 5,000 รายชื่อ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเครดิตดี ไปจำหน่ายต่อในราคารายชื่อละ 1 บาท ทำให้นายสุวรรณมีรายได้เพิ่มเติมในแต่ละเดือนหลายหมื่นบาท โดยกระทำมาแล้วกว่า 1-2 ปี

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวนายสุวรรณฯ พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.5 ดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งได้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส) เพื่อตรวจสอบแหล่งข้อมูลที่รั่วไหล เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และสืบสวนขยายผลผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ได้กล่าวว่า การหลอกลวงของมิจฉาชีพในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยจะใช้วิธีซื้อข้อมูลเหยื่อจากกลุ่มตลาดมืดที่เป็นข้อมูลพรีเมียม กล่าวคือ เป็นข้อมูลเหยื่อที่มีเครดิตชั้นดี ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพสามารถตีสนิทเหยื่อได้ง่ายกว่า

เนื่องจากมีข้อมูลจำเพาะเจาะจง ทำให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเจ้าหน้าที่ภาคเอกชนต่างๆ ติดต่อมาจริง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก จึงต้องเร่งปราบปรามผู้กระทำผิดในลักษณะนี้ตามนโยบายของรัฐบาล

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: