​เผยต้นทุนค่าไฟลด​กว่า 2​ หมื่นล้าน ตั้งแต่​ 8​ มี.ค​-ธ.ค.66​​ หลังแหล่งก๊าซบงกช​เปลี่ยนระบบเป็น​ PSC

กองบรรณาธิการ TCIJ 23 มี.ค. 2566 | อ่านแล้ว 1417 ครั้ง

​เผยต้นทุนค่าไฟลด​กว่า 2​ หมื่นล้าน ตั้งแต่​ 8​ มี.ค​-ธ.ค.66​​ หลังแหล่งก๊าซบงกช​เปลี่ยนระบบเป็น​ PSC

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ยืนยันการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61) จากระบบสัมปทานสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ถูกลง​ เพราะราคาก๊าซจะลดลง โดยปรับจาก 279 – 324 บาทต่อล้านบีทียู ในระบบสัมปทานเดิมเหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียูภายใต้ระบบแบ่งปันผลผลิต​ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. – ธ.ค. 2566) โดยตลอดระยะเวลา 50​ ปี​แหล่งบงกชสร้างรายได้ให้รัฐในรูปค่าภาคหลวงและภาษีกว่า​ 2.3 แสนล้านบาท

Energy News Center รายงานเมื่อช่วงเดือน มี.ค. 2566 ว่านายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่าการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61) ในวันที่ 7 – 8 มี.ค. 2566 จากระบบสัมปทานสู่ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract หรือ PSC) ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ. อีดี) จะสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องทันทีทุกขั้นตอนแบบไร้รอยต่อ และปัญหาใด ๆ และคาดว่าจะสามารถเร่งผลิตก๊าซธรรมชาติให้มากกว่าเป้าหมายของภาครัฐที่ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติที่ลดลงของแปลง G1/61 ( แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณเดิม​ )

ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้เตรียมความพร้อม รองรับการดำเนินงานช่วงเปลี่ยนผ่านของแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช (แปลง G2/61) โดยได้มีการตรวจติดตามสภาพความแข็งแรง ปลอดภัยของสิ่งติดตั้งและทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมของแปลง G2/61 รวมทั้งได้จัดตั้งวอร์รูม (War Room) เพื่อรองรับการบริหารจัดการสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านในลักษณะบูรณาการ ร่วมกับผู้รับสัมปทานรายเดิม ผู้รับสัญญารายใหม่ และผู้รับซื้อปิโตรเลียม โดยมีผู้บริหารของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติบัญชาการที่ห้องวอร์รูม รวมทั้งมีทีมเฉพาะกิจภาคสนาม จำนวน 3 ทีม​ คอยติดตาม ควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิดบนแท่นผลิตในทะเลอ่าวไทย โดยประจำที่แท่นผลิตกลางบงกชใต้ แท่นผลิตกลางบงกชเหนือ และเรือกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลวปทุมพาหะ เพื่อตรวจสอบปริมาณการผลิตปิโตรเลียมรอบสุดท้ายในช่วงเวลาก่อนหมดอายุสัมปทาน รวมทั้งวัดปริมาณปิโตรเลียมที่คงค้างในเรือกักเก็บ ก่อนที่จะมีการส่งมอบให้กับผู้รับสัญญารายใหม่อย่างเป็นทางการ

“ในวันที่ 8 มีนาคม 2566 ถือเป็นอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์พลังงานของประเทศไทย ที่จะมีการใช้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตในกิจการปิโตรเลียม กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินงาน ได้มีการเตรียมความพร้อมทุกด้าน และเตรียมแผนรับมือในทุก ๆ จุดที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น ไร้รอยต่อ เพื่อทำให้กระบวนการผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถสนับสนุนปริมาณก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมเพื่อทดแทนการผลิตที่ลดลงจากแหล่งอื่น ๆ ได้ด้วย ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตจะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ได้จากแปลง G2/61 ปรับลดลงประมาณ 107-152 บาทต่อล้านบีทียู (ปรับจาก 279 - 324 บาทต่อล้านบีทียู ลดลงเหลือ 172 บาทต่อล้านบีทียู) คิดเป็นมูลค่าประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม - ธันวาคม 2566) ช่วยสร้างเสถียรภาพของราคาก๊าซธรรมชาติที่จะนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ลดต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า และลดผลกระทบเกี่ยวกับราคาค่าไฟฟ้าของประชาชนได้ด้วย” นายสราวุธ กล่าว

สำหรับแหล่งก๊าซบงกช​ ในส่วนของ​แปลงสัมปทาน​ B15 นั้นสิ้นสุดอายุสัมปทานไปก่อนหน้าแล้วและเปลี่ยนเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตตั้งแต่​ วันที่​ 24​ เม.ย. 2565​ โดยมีกำลังการผลิตก๊าซ​ 100​ ล้านลูกบาศก์​ฟุต​ต่อ​วัน​ ส่วนแปลง​B16​และ​ B​17​ ที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานในวันที่​ 7​ มี.ค.​2566​ นี้​ มีกำลังผลิตก๊าซรวม​ 700​ ล้านลูกบาศก์​ฟุต​ต่อ​วัน​ ซึ่งตลอดระยะเวลาสัมปทานแหล่งก๊าซบงกช​ ที่เริ่มสัญญาสัมปทานมาตั้งแต่ปี​2515 จนถึงปัจจุบัน​ สร้างรายได้ให้กับรัฐในรูปค่าภาคหลวง​ ภาษีเงินได้​และอื่นๆ​ รวมกว่า​ 2.3 แสนล้านบาท

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: