เผยพบ ‘เด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์’ ในสหรัฐฯ กลายเป็นเหยื่อค้าประเวณี

ปิญณ์ชาน์ เหล็กเพชร 24 พ.ย. 2566 | อ่านแล้ว 6141 ครั้ง

รายงานพิเศษจาก 'Stateline' เผยพบ ‘เด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์’ (Foster care kids) ในสหรัฐฯ กลายเป็นเหยื่อค้าประเวณี บางมลรัฐล้มเหลวในการสอดส่องปัญหานี้ และไม่ปฏิบัติตามข้อตรวจสอบที่รัฐบาลกลางกำหนดไว้ | ที่มาภาพ: AMU Edge

รายงานพิเศษจาก Stateline เมื่อเดือน พ.ย. 2023 ระบุว่า 'ที ออร์ติซ', ผู้รอดชีวิตจากการค้ามนุษย์และปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้แทนของเหยื่อการค้าประเวณีและที่ปรึกษาด้านนโยบาย ได้ให้ข้อมูลในงานสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการค้าประเวณีเด็ก จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่ามีรัฐหลายรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐบาลกลางซึ่งกำหนดให้ต้องมีการตรวจสอบ ‘เด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์’ (Foster care kids) เมื่อพวกเขากลับมาหลังจากหายไปเกี่ยวกับการค้าประเวณี

Foster care kids คือเด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์ (foster family) ครอบครัวอุปถัมภ์เป็นครอบครัวที่สมัครใจรับเด็กเข้ามาดูแลชั่วคราว อาจเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถดูแลได้ชั่วคราว เช่น พ่อแม่ติดคุก พ่อแม่เสียชีวิต พ่อแม่ป่วย หรืออาจเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถดูแลได้ถาวร เช่น พ่อแม่ทอดทิ้ง พ่อแม่ถูกพิพากษาให้เพิกถอนอำนาจปกครอง เด็กที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวอุปถัมภ์มีสิทธิเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป เช่น สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิในสวัสดิการสังคม สิทธิในการติดต่อสื่อสารกับพ่อแม่

เมื่อออร์ติซอายุ 10 ปี และอยู่ในระบบอุปถัมภ์ เธอมักจะนั่งรถบัสโดยสารสาธารณะไปรอบๆ อ่าวซานฟรานซิสโกเพียงลำพัง บ่อยครั้งเธอจะไปรอรถที่ป้ายใกล้ร้านตัดผม ช่างตัดผมที่อายุมากกว่าเธอ 15 ปีเริ่มที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเธอ โดยซื้อขนมและอาหารให้ ให้ความสนใจ และสร้างความไว้วางใจจากเธอ ไม่นานก่อนที่เขาจะเร่ขายเธอและถ่ายภาพเปลือยของเธอเพื่อโพสต์ออนไลน์

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ออร์ติซตกเป็นเหยื่อทางเพศ เธอเคยถูกแม่ผู้ให้กำเนิดนำไปค้าบริการครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ขวบ และเธอถูกพ่อแม่อุปถัมภ์ทารุณกรรมตลอดวัยเด็ก

ที ออร์ติซ อยู่ภายใต้การดูแลโดยรัฐและถูกนำไปค้าประเวณีจนถึงอายุ 17 ปี การย้ายบ้านอุปถัมภ์หลายครั้งทำให้เธอหยุดนับตั้งแต่บ้านหลังที่ 14 ช่างตัดผมล่อลวงด้วยคำพูดว่าจะปกป้องเธอจากการทารุณกรรมในบ้านอุปถัมภ์ เขาบอกเธอว่า“เธอเป็นแค่เช็คไว้ขึ้นเงินสำหรับพวกนั้น”

“เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้มากที่สุดในชีวิตของฉัน” ออร์ติซ วัย 34 ปี กล่าว เธอทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ตลอดจนฝึกอบรมและให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และวิธีการต่างๆ เพื่อป้องกันมัน

ออร์ติซหลบหนีจากบ้านอุปถัมภ์หลายครั้ง บางครั้งนานหลายวันหรือสัปดาห์ เธอถูกค้าประเวณีไปทั่วแคลิฟอร์เนียและข้ามสู่รัฐเนวาดา, โอเรกอน และวอชิงตัน แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยทำการตรวจสอบเพื่อค้นหาว่าเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่เลย

เด็กๆ ในระบบอุปถัมภ์มักเสี่ยงเป็นเป้าหมายของการค้าประเวณี ในปี 2014 กฎหมายของรัฐบาลกลางมีการกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องตรวจสอบว่าเด็กที่หายตัวไปถูกล่อลวงทางเพศหรือไม่ อย่างไรก็ตาม รายงานจากรัฐบาลกลางพบว่ามีบางรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งทำให้พลาดโอกาสในการช่วยเหลือและป้องกันเด็กๆ จากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

“เด็กหลายคนทั่วประเทศยังหลุดรอดจากเรดาร์เนื่องจากระบบการตรวจสอบในบางรัฐที่ไม่คงที่และไม่มีมาตรฐาน”

“มีความจำเป็นที่หน่วยงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องเร่งผลักดันให้มีการดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจังและทำให้มั่นใจว่ามันต้องเกิดขึ้น” ที ออร์ติซ กล่าว

จากรายงานล่าสุดของสำนักงานผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการมนุษย์แห่งสหรัฐฯ มีการสำรวจในห้ารัฐ คือ อิลลินอยส์, แมสซาชูเซตส์, มินนิโซตา, เพนซิลเวเนีย, และเท็กซัส พบว่า 65% จากจำนวน 413 กรณีของเด็กที่กลับมาหลังหายไประหว่างปี 2018 ถึง 2019 ไม่มีหลักฐานของการตรวจสอบ รัฐเหล่านี้ถูกเลือกมาเนื่องจากมีรายงานเด็กหลบหนีหรือสูญหายสูงสุดในปี 2018

และพบว่าเจ้าหน้าที่บางครั้งพึ่งพาคำบอกเล่าจากเด็กๆ เพื่อหาคำตอบว่าพวกเขาเป็นเหยื่อหรือไม่ ซึ่งวิธีนี้ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเด็กหลายคนไม่เปิดเผยหรืออาจไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาเผชิญ เจ้าหน้าที่ด้านสวัสดิการเด็กมักใช้แบบสอบถามหรือรายการตรวจสอบในการคัดกรองหาสัญญาณของการเป็นเหยื่อ โดยเครื่องมือเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อค้นหาตัวบ่งชี้อย่างการได้พบเจอกับบุคคลที่รู้จักทางออนไลน์หรือไม่ การแสดงออกถึงบาดแผลทางจิตใจ อาการหวาดกลัวหรือตกใจง่ายกว่าปกติ หรือรอยสักใหม่ ซึ่งอาจเป็นการ "ถูกตีตรา" จากผู้ค้ามนุษย์

ในรัฐเพนซิลเวเนีย, แมสซาชูเซตส์, มินนิโซตา และอิลลินอยส์ พบการตรวจสอบเพียง 15%, 18%, 19% และ 32% ตามลำดับ

ไบรอัน ไวท์เลย์, ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการมนุษย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า “รัฐต่างๆ ขาดแนวทางและกลไกที่เฉพาะเจาะจงเพื่อรับรองว่าได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเหมาะสม” และเขายังชี้ให้เห็นว่าผลการค้นพบนี้ “น่าตกใจ”

จากข้อมูลพบว่ามีเด็กที่มีการรับเงินจากบุคคลที่แปลกหน้า มีการใช้หรือขายสารเสพติด หรือตั้งครรภ์ในขณะที่หายตัวไป แต่ไม่พบหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการต่อยอดตรวจสอบเด็กๆ เหล่านี้ในเรื่องการค้ามนุษย์เลย

เท็กซัส รัฐเท็กซัสนับตั้งแต่ปี 2015 ภายใต้คำสั่งศาลให้มีการปรับปรุงระบบการดูแลเด็ก ทำให้มีอัตราการตรวจสอบที่สูงขึ้นถึง 83% ซึ่งผู้ตรวจสอบระบุว่าอาจเป็นเพราะรัฐเท็กซัสมีเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษที่เน้นการตรวจสอบการค้ามนุษย์เป็นหลัก

เพนซิลเวเนีย กรมสวัสดิการมนุษย์ของรัฐเพนซิลเวเนียได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับปัญหาการค้าเด็ก นับตั้งแต่การสำรวจข้อมูลเพื่อจัดทำรายงาน รวมถึงการดำเนินการตามนโยบายการตรวจสอบของหน่วยงานซึ่งจะนำมาใช้ทั่วทั้งรัฐ

“รัฐเพนซิลเวเนียมีความตั้งใจอย่างจริงจังในการปกป้องเด็กและวัยรุ่นที่มีความเปราะบางที่สุด และมุ่งมั่นที่จะตรวจสอบ ประเมิน และการช่วยเหลือที่เหมาะสมกับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือเป็นเหยื่อของการค้าประเวณี” ตามที่หน่วยงานได้ระบุไว้ในการแถลงข่าวต่อ Stateline"

อิลลินอยส์ กรมดูแลเด็กและครอบครัวของรัฐอิลลินอยส์ได้แจ้งว่า ผู้บริหารหน่วยงานได้ประชุมกับกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการมนุษย์เพื่อจัดหาแนวทางปรับปรุงให้ดีขึ้นและกำลังจะเริ่มดำเนินการ นอกจากนี้ หน่วยงานยังได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญจากรัฐบาลกลางและรัฐเพื่อพัฒนาเครื่องมือตรวจสอบใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวก่อนสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งมีการจัดฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด” ตามที่หน่วยงานได้ระบุในอีเมล์

แมสซาซูเซตส์ รัฐแมสซาชูเซตส์ได้ประกาศว่าพวกเขากำลังปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อปรับปรุงการจัดการเอกสารคดี นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมพนักงานในเรื่องวิธีการตรวจสอบที่ถูกต้อง และรัฐได้ดำเนินการตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าอัตราการตรวจสอบของพวกเขาสูงกว่าที่ผู้ตรวจราชการพบ โดยมีหลักฐานประกอบการคัดกรองใน 82 กรณีจาก 89 กรณีตัวอย่าง

“ระบบของเราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและเพิ่มความถ่วงดุลให้มากขึ้น รวมถึงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย” โซซาน คูคูไคดิน ผู้ประสานงานบริการต่อต้านการค้ามนุษย์และกลุ่มพันธมิตรเพื่อส่งเสริมความเคารพในเพนซิลเวเนีย ซึ่งสนับสนุนเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศ กล่าว

การเอาชนะความอ่อนแอ

ผู้ค้ามนุษย์มักใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอ เช่น ความยากจน และการขาดการสนับสนุนและการปกป้องจากครอบครัว

“คุณมีคนหนุ่มสาวที่ไม่ไว้วางใจผู้ใหญ่ และไม่ได้รับความสัมพันธ์ที่พวกเขาต้องการจากผู้ดูแล” บินลีย์ เทย์เลอร์ จาก FosterClub เครือข่ายเยาวชนในระบบอุปถัมภ์ระดับชาติกล่าว “เมื่อพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็จะเอนเอียงไปทางผู้ค้ามนุษย์ง่ายขึ้น”

ออร์ติซกล่าวว่าช่างตัดผมและผู้ค้ามนุษย์คนอื่นๆ สัญญาว่าจะมอบความปลอดภัยและให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเธอ “พวกเขาให้สัญญาทุกอย่าง” เธอพูด. “มันเหมือนเป็นหนทางรอดของฉัน”

องค์กรสนับสนุนเยาวชนอุปถัมภ์แห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ประเมินว่า 60% ของเหยื่อการค้ามนุษย์ เป็นเด็กที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์ เยาวชนประมาณหนึ่งในสามจาก 335 มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกค้ามนุษย์ในปี 2021 และ 2022 พบว่าการหลบหนีหรือถูกไล่ออกจากบ้านนำไปสู่การค้าประเวณีในครั้งแรก เหยื่อค้ามนุษย์มักมีประวัติการย้ายบ้านอุปถัมภ์หลายแห่งและการหายตัวบ่อยครั้ง

ตามรายงานของ National Child Traumatic Stress Network ระบุว่าคนผิวสี เช่น ออร์ติซ จะถูกค้ามนุษย์ในสัดส่วนที่มากกว่า “โดยทั่วไปแล้ว ชุมชนที่มีความเสี่ยงต่อการถูกค้ามนุษย์และการล่วงละเมิดมักเป็นชุมชนด้อยโอกาส” คูคัยดินจากกลุ่มพันธมิตรเพนซิลเวเนียกล่าว

หลังจากการตรวจสอบ ฝ่ายบริหารของรัฐบาลกลางสำหรับเด็กและครอบครัวได้ออกแถลงการณ์พร้อมคำแนะนำให้กับรัฐต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ตามการวิเคราะห์ของ Shared Hope International Institute for Justice & Advocacy ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรในแวนคูเวอร์ กรุงวอชิงตัน พบว่ามีเพียง 11 รัฐเท่านั้น (โคโลราโด, ฟลอริดา, แคนซัส, เคนตักกี้, แมริแลนด์, มินนิโซตา, เนแบรสกา, โอคลาโฮมา, เทนเนสซี, เท็กซัส และยูทาห์) รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานสวัสดิการเด็กต้องตรวจสอบเด็กที่อาจถูกค้ามนุษย์ ในกรณีของเด็กที่หายไปจากระบบอุปถัมภ์ และจากจำนวนรัฐที่กล่าวถึงมีเพียงสามรัฐเท่านั้น คือ มินนิโซตา, เท็กซัส, และยูทาห์, ที่มีกฎหมายอาณัติเฉพาะให้มีการตรวจสอบเด็กที่หายไปจากระบบอุปถัมภ์โดยเฉพาะ

ทุกรัฐมีข้อผูกพันตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง แต่การมีกฎหมายของรัฐเฉพาะจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำการตรวจสอบเด็กได้ ด้วยเหตุที่กฎหมายรัฐบาลกลางไม่ได้ระบุรายละเอียดของการตรวจสอบ หน่วยงานของรัฐหลายแห่งจึงมีการตรวจสอบของตนเอง ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของหน่วยงาน ที่อาจจะไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย

ซาราห์ เบนท์เซ่น ไดเอดิอูทนายความและผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์นโยบายของ Shared Hope กล่าวว่า การมีกฎหมายที่ชัดเจนสามารถเพิ่มความรับผิดชอบของหน่วยงานดูแลเด็กของรัฐได้ โดยสภานิติบัญญัติอาจกำหนดให้รัฐรายงานวิธีการบังคับใช้กฎหมายนี้ ไดเอดิอู ระบุว่ายังมีช่องว่างระหว่างข้อกำหนดทางกฎหมายและการนำไปปฏิบัติจริง

“เราเชื่อว่าทุกรัฐควรมีกฎหมายบังคับให้ตรวจสอบเยาวชนที่อยู่ในระบบทั้งหมด เพราะการมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์” เธอกล่าว “พวกเขามีจุดอ่อนหรือมีปัจจัยเสี่ยงในการถูกแสวงหาผลประโยชน์”

ออร์ติซชี้ว่าการที่เด็กอาจถูกค้าข้ามรัฐ ทำให้เป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยงานของรัฐและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายควรมีการแบ่งปันผลการตรวจสอบแก่กัน

เอมี โรบินส์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการนิติเวชของศูนย์ช่วยเหลือเด็กแห่งรัฐมิสซูรีตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกอบรมผู้ดูแลและผู้เชี่ยวชาญ เช่น เจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ซึ่งอยู่ใกล้ชิดเด็กเพื่อรับรู้สัญญาณเตือนเกี่ยวกับเด็กที่อาจตกเป็นเหยื่อ

องค์กรของเธอเสนอการฝึกอบรมแก่ผู้นำท้องถิ่นเพื่อให้สามารถตรวจพบเยาวชนที่อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ โรบินส์เล่าถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในวงจรนี้เมื่ออยู่เกรด 5 เด็กหญิงอยู่ในบ้านอุปถัมภ์และมักจะหนีออกจากบ้านตลอดเวลา จนกระทั่งตอนมัธยมต้น เจ้าหน้าที่ทรัพยากรของโรงเรียนถึงเพิ่งค้นพบว่าเธอเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

“เธอยังเด็กมาก บ่อยครั้งที่โรงเรียนและหน่วยงานดูแลพลาดไป” โรบินส์กล่าว เมลิสซา คาร์เตอร์ ผู้อำนวยการบริหารศูนย์กฎหมายและนโยบายเด็กบาร์ตัน แห่งมหาวิทยาลัยเอมอรีในแอตแลนตา ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่สวัสดิการเด็กมีภาระล้นเกิน และมักจะไม่รายงานเมื่อเด็กในการดูแลหายตัวไป “เรามีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมที่ดี ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ และอาจไม่รู้เลยว่านโยบายนี้ต้องการอะไร” คาร์เตอร์กล่าว
"การที่เด็กๆ หายตัวไปจากการดูแลบ่อยครั้ง เป็นเพราะระบบไม่สามารถทำหน้าที่ในการปกป้องและรักษาพวกเขาได้อย่างเหมาะสม"

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ารัฐต่างๆ จำเป็นต้องปรับปรุงการตรวจสอบบ้านอุปถัมภ์แบบกลุ่มด้วย เมื่อปีก่อนในบาสทรอป, เท็กซัส, เจ้าหน้าที่รัฐได้ปิดสถานเลี้ยงเด็กอุปถัมภ์สำหรับเด็กผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อการค้าทางเพศ หลังจากที่ศาลพบว่ามีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่กำลังค้าเด็ก

เบธานี กิลอตอดีตผู้อำนวยการป้องกันการค้ามนุษย์ของรัฐฟลอริดา และประธานของ National Child Welfare Anti-Trafficking Collaborative ชี้ว่าข้อบกพร่องสำคัญคือการขาด "เครื่องมือมาตรฐาน" สำหรับหน่วยงานทั่วประเทศในการจัดการกับสถานการณ์นี้ ปัจจุบันมีเพียงเครื่องมือเดียวที่ได้รับการวิจัยและพบว่ามีประสิทธิภาพคือ เครื่องมือระบุการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์ หลายรัฐใช้แบบสอบถามของตนเองซึ่งอาจมีประสิทธิภาพหรือไม่ก็ได้

“ฉันเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คน” ออร์ติซกล่าว “หากเราไม่เห็นว่านี่เป็นปัญหาที่มีความทับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน เราก็อาจจะไม่เข้าใจรากฐานของปัญหาใด ๆ ได้เลย”

 

แปลและเรียบเรียงจาก
When foster care kids are sex trafficked, some states fail to figure it out (Nada Hassanein, Stateline, 22 November 2023)

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: