รัฐนิวเซาท์เวลส์ออสเตรเลียประกาศแบนมือถือในโรงเรียนมัธยมตั้งแต่ปลายปี 2023 นี้

กองบรรณาธิการ TCIJ 19 เม.ย. 2566 | อ่านแล้ว 13832 ครั้ง

รัฐนิวเซาท์เวลส์ออสเตรเลียประกาศแบนมือถือในโรงเรียนมัธยมตั้งแต่ปลายปี 2023 นี้

รัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในออสเตรเลีย ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งได้ดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยการประกาศแบนโทรศัพท์มือถือจากโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลตั้งแต่ปลายปี 2023 นี้ | ที่มาภาพ: Cyberbullying Research Center

SBS รายงานเมื่อต้นเดือน เม.ย. 2023 ว่ารัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งได้ดำเนินนโยบายตามที่สัญญาไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยการประกาศแบนโทรศัพท์มือถือจากโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลนับตั้งแต่ปีการศึกษาที่ 4 ของปีนี้เป็นต้นไป นักการศึกษาและนักวิจัยชี้เป็นวิธีง่าย ๆ ในการลดการกลั่นแกล้งบนอินเทอร์เน็ต และปรับปรุงผลการเรียนให้ดีขึ้น

เป็นเวลา 1 ปีแล้ว ที่นักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาเดวิดสัน (Davidson High School) ทางตอนเหนือของนครซิดนีย์ มีกิจวัตรประจำวันใหม่ในยามเช้า ระหว่างทางที่พวกเขาเดินไปที่ประตูรั้วโรงเรียน พวกเขาแวะเก็บโทรศัพท์มือถือ ล็อกไว้ในกระเป๋าแม่เหล็ก จนกว่าออดบอกเวลาสิ้นสุดคาบเรียนสุดท้ายจะดังขึ้น

"ฉันรู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะฉันไม่ได้ติดมันมากนัก เพราะต้องอยู่โดยไม่มีมันถึง 6 ชั่วโมงแล้วก็กลับบ้าน เพื่อน ๆ ของฉันทุกคนไม่มีโทรศัพท์ ก็เลยไม่มีอะไรที่จะต้องตรวจเช็คกันมากนัก" นักเรียนคนหนึ่งกล่าว

นับตั้งแต่ปีการศึกษาที่ 4 ของปีนี้เป็นต้นไป จะมีนักเรียนมากกว่า 320,000 คน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ ที่จะถูกจำกัดห้ามการใช้โทรศัพท์มือถือเมื่ออยู่ในสถานศึกษา

ทั้งนี้ การแบนโทรศัพท์มือถือในห้องเรียนมีผลบังคับใช้อยู่แล้วที่โรงเรียนประถมศึกษาของรัฐบาลในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เช่นเดียวกับรัฐและมณฑลอื่น ๆ ทั่วออสเตรเลีย ยกเว้นรัฐควีนส์แลนด์และแทสเมเนีย

คุณเดวิด รูล (David Rule) ครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาเดวิดสัน ไม่ต้องการรอให้คำสั่งจากรัฐบาลมีผลบังคับใช้ในเทอม 4

"มันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่ผมก็พอใจกับผลที่ออกมาจริง ๆ เราได้เห็นความฉลาดทางสังคมและอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นในโรงเรียน ในตัวเด็กๆ ของเรา พวกเขามีความสามารถในการสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น”

“นักเรียนได้พักจากสื่อสังคมออนไลน์เป็นเวลา 6 หรือ 7 ชั่วโมง และเรารู้ว่าเด็กบางคนโชคไม่ดีที่ได้รับสิ่งต่าง ๆ ในเชิงลบ สำหรับเวลา 6 ชั่วโมงในโรงเรียนนั้น มันเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา พวกเขาสามารถปิดมันได้ และรู้สึกสบายใจขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะหยุดลงเมื่ออยู่นอกโรงเรียน แต่อย่างน้องก็ทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง ดังนั้นผมจึงดีใจมากครับ” คุณรูล ครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาเดวิดสัน กล่าว

แต่การใช้โทรศัพท์มือถือนอกโรงเรียนก็ยังคงเป็นปัญหา คุณดานี เอลาชี (Dany Elachi) ผู้ปกครองคนหนึ่งในนครซิดนีย์ เล่าถึงความรังเกียจต่อความติดงอมแงมที่โทรศัพท์มือถือมีต่อลูกสาวของเขา จนต้องยึดโทรศัพท์คืนจากเธอ

"พูดสั้นๆ ก็คือ เราพบว่าเธอเอาโทรศัพท์ไปเข้านอนด้วย เธอถูกอุปกรณ์นี้ครอบงำโดยสิ้นเชิง ไม่โต้ตอบกับครอบครัวหลังเลิกเรียนเหมือนอย่างที่เคย ไม่อ่านหนังสือมากเหมือนที่เธอเคยเป็น เธอฟุ้งซ่านไปหมดกับเสียงแจ้งเตือนและเสียงสั่นอยู่ตลอดเวลา" คุณเอลาชีกล่าว

คุณเอลาชี กล่าวว่า เพื่อทำให้ปัญหาทุเลาลง เขาหันไปพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเขากับ Heads Up Alliance

"เราคิดว่าวิธีหนึ่งที่ดีซึ่งจะทำให้ลูก ๆ ของเราสบายใจขึ้นว่าพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกที่ไม่มีโทรศัพท์ และไม่มีโซเชียลมีเดีย อย่างน้อยก็คือหาคน 2-3 คนในระดับชั้นเดียวกันหรือในโรงเรียนเดียวกับพวกเขา และเราก็ทำได้สำเร็จ และเราได้สนับสนุนให้ครอบครัวในโรงเรียนอื่น ๆ จัดตั้งพันธมิตรที่คล้ายกันนี้ เพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเขาซึ่งเป็นส่วนน้อยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว"

ขณะที่มีบางส่วนมองว่า นักเรียนควรเรียนรู้ที่จะจัดการพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือด้วยตนเอง แต่ คุณซูซาน แมคลีน (Susan McLean) ผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้

“ก่อนอื่นเลยก็คือ เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ไม่เคยทำงานในโรงเรียนหรือเกี่ยวข้องกับวัยรุ่น เนื่องจากเด็ก ๆ ไม่ควบคุมตนเอง และมันไม่ใช่ทักษะที่สอนได้จริง ๆ คุณเรียนรู้มันผ่านวุฒิภาวะ ซึ่งคุณทำได้แน่นอน”

“ฉันสนับสนุน 100% ต่อการศึกษาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างเคารพและมีความรับผิดชอบ แต่การปล่อยให้เด็กทำสิ่งที่ต้องการบนอุปกรณ์เมื่อพวกเขาต้องการไม่ใช่แนวปฏิบัติที่ดี และไม่ใช่การเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับอนาคต" คุณแมคลีน ผู้นำด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าว

มีการทดลองและการแบนการใช้โทรศัพท์มือถือในหลายประเทศทั่วโลก นักวิจัยจากสเปนและอังกฤษแสดงให้เห็นถึงผลกระทบในเชิงบวกที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของนักเรียน รวมถึงเรื่องของการกลั่นแกล้ง และผลลัพธ์ทางการศึกษา

ซารา อับราฮัมสัน (Sara Abrahamsson) นักวิจัยด้านสาธารณสุข ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ประเทศนอร์เวย์

"ฉันคิดว่าวัยรุ่นทุกคนจะเกลียดฉันที่พูดแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วฉันพบในการศึกษาของฉันว่า ยิ่งการจำกัดห้ามเข้มงวดมากเท่าไหร่ ผลการศึกษาก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือคะแนนสอบของเด็กผู้หญิง เราเห็นว่าพวกเขาพัฒนาขึ้นในวิชาคณิตศาสตร์ และเราก็ได้เห็นว่าการกลั่นแกล้งลดลงไปด้วย"

"แล้วทำไมจึงมีความแตกต่างทางเพศแบบนี้? ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะช่วงอายุระหว่าง 13-16 ปี ผู้หญิงในช่วงอายุนี้ใช้โทรศัพท์มากกว่าเมื่อเทียบกับเด็กผู้ชาย" คุณอับราฮัมสันกล่าว

มีการศึกษาในระดับนานาชาติบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการด้านวิชาการที่มีเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่นั่นคือบัตรรายงานผลการเรียนของนักเรียนเหล่านี้จากนครซิดนีย์

"ฉันรู้สึกว่าตอนนี้พอไม่มีโทรศัพท์ ในช่วงคาบว่างหรือช่วงพักเที่ยงเราสื่อสารกันมากขึ้น มันเป็นไปอย่างผ่อนคลายมากขึ้นในทางหนึ่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของเรา" นักเรียนคนหนึ่งกล่าว

"ผมรู้สึกว่ามันไม่มีข่าวลือและการกลั่นแกล้งทางออนไลน์แพร่กระจายไปมากนัก ดังนั้นผมจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี" นักเรียนอีกคนหนึ่งกล่าว

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: