เปิดรายงานผลกระทบของการผ่อนปรนมาตรการของรัฐบาลไทยต่อแรงงานข้ามชาติ

กองบรรณาธิการ TCIJ 13 ก.พ. 2566 | อ่านแล้ว 7638 ครั้ง

เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เผยแพร่รายงานผลกระทบของการผ่อนปรนมาตรการของรัฐบาลไทยต่อแรงงานข้ามชาติและความเสี่ยงด้านแรงงานบังคับ พบ 93% ของแรงงานข้ามชาติไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียนได้ด้วยตนเอง และต้องพึ่งพานายจ้างของตน, นายหน้า, และบริษัทจัดหางาน เพื่อขึ้นทะเบียน 

เมื่อช่วงต้นปี 2566 เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ด้วยการสนับสนุนของ Global Labor Justice - International Labor Rights Forum (GLJ-ILRF) และ Solidarity Center (SC) ได้เผยแพร่รายงานผลกระทบของการผ่อนปรนมาตรการของรัฐบาลไทยต่อแรงงานข้ามชาติและความเสี่ยงด้านแรงงานบังคับ

ข้อค้นพบจากรายฉบับนี้

ก. กระบวนการขึ้นทะเบียน

· 93% ของแรงงานข้ามชาติไม่สามารถดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียนได้ด้วยตนเอง และต้องพึ่งพานายจ้างของตน, นายหน้า, และบริษัทจัดหางาน เพื่อขึ้นทะเบียน

· 55% ของแรงงานข้ามชาติต้องการความช่วยเหลือในการลงทะเบียนออนไลน์ในเว็บไซต์ของกรมจัดหางาน ส่วนใหญ่เป็นเพราะอุปสรรคด้านภาษาและทางเทคนิค

· 69% ของแรงงานข้ามชาติระบุว่า การตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นข้อกำหนดที่ท้าทายมากสุดสำหรับการขึ้นทะเบียน ตามมาด้วยค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน (59%)

· ในจำนวนคนงาน 14 คนที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนจนสำเร็จ เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงในการขึ้นทะเบียน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่สำคัญมากสุด (93%) ตามมาด้วยการขาดเอกสารที่จำเป็นสำหรับการขึ้นทะเบียน (79%) การขาดความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นทะเบียน (71%) และความซับซ้อนของกระบวนการ (57%)

ข. ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน

· 79% ของแรงงานข้ามชาติถูกเก็บค่าใช้จ่ายมากเกินจริงในกระบวนการขึ้นทะเบียน โดยต้องจ่ายมากกว่า 10,000 บาท แทนที่จะเป็น 8,480-8,680 บาท ตามที่กำหนดโดยรัฐบาล

· ในบรรดาแรงงานข้ามชาติที่ต้องพึ่งพานายหน้า เพื่อดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียน 98% ถูกเก็บค่าใช้จ่ายมากเกินจริง เฉลี่ยจ่ายเป็นเงิน 17,000 บาท เพื่อขึ้นทะเบียน ในบรรดาแรงงานข้ามชาติที่ต้องพึ่งพานายจ้างของตน 82% ถูกเก็บค่าใช้จ่ายมากเกินจริง เฉลี่ยจ่ายเป็นเงิน 12,000 บาท เพื่อขึ้นทะเบียน และในบรรดาแรงงานข้ามชาติที่ต้องพึ่งพาบริษัทจัดหางาน 80% ถูกเก็บค่าใช้จ่ายมากเกินจริง เฉลี่ยจ่ายเป็นเงิน 13,000 บาท เพื่อขึ้นทะเบียน

· 73% ของแรงงานข้ามชาติไม่ทราบว่าได้จ่ายเงินไปมากน้อยเพียงใดสำหรับค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน

ค. หนี้ที่เกิดขึ้นจาก

· โดยภาพรวม 79% ของภาระหนี้สินของแรงงานข้ามชาติ เกิดจากค่าขึ้นทะเบียน คิดเป็นหนี้โดยเฉลี่ย 8,000-12,000 บาท

· 81% ของแรงงานจ่ายเงินให้กับนายจ้าง 96% ของแรงงานจ่ายเงินให้กับนายหน้า และ 100% ของแรงงานจ่ายเงินให้กับบริษัทจัดหางาน ทำให้เป็นหนี้จากการดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียน

· แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ (73%) กลายเป็นลูกหนี้ของนายจ้าง เพราะดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียน

ง. ความเสี่ยงต่อการเป็นแรงงานบังคับ

· โดยภาพรวม 60% ของแรงงานข้ามชาติระบุว่าถูกหักค่าจ้างเพื่อชำระหนี้

· 64% ของแรงงานที่ตกเป็นลูกหนี้ของนายจ้าง, 89% ของแรงงานที่ตกเป็นลูกหนี้ของนายหน้า และ 55% ของแรงงานที่ตกเป็นลูกหนี้ของบริษัทจัดหางาน ถูกหักค่าจ้างเพื่อชำระหนี้

· แรงงานข้ามชาติแปดคนระบุว่า เคยอยู่ในสภาพการทำงานมากกว่าหนึ่งอย่างที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดของแรงงานบังคับ ทั้งการทำงานล่วงเวลาเป็นเวลายาวนาน, นายจ้างค้างค่าแรง, การยึดทรัพย์สิน และการยึดเอกสารประจำตัว

· แรงงานข้ามชาติ 11 คนระบุว่ามีตัวชี้วัดของการขู่จะลงโทษหลายประการ

ข้อเสนอแนะ

เพื่อแก้ไขความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการเป็นแรงงานบังคับในบรรดาแรงงานข้ามชาติ โดยเป็นผลมาจากการผ่อนปรนมาตรการ เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ, GLJ-ILRF และ Solidarity Center มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลไทยพิจารณาปฏิรูปนโยบายดังต่อไปนี้

1. ความรับผิดชอบของนายจ้างต่อค่าธรรมเนียมการจัดหางานและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง: กระทรวงแรงงานควรกำหนดและบังคับใช้ระเบียบห้ามการเก็บค่าธรรมเนียมเอกสาร และขั้นตอนการขึ้นทะเบียนจากแรงงานข้ามชาติ และกำหนดให้นายจ้างต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายดังกล่าว สอดคล้องตามแนวปฏิบัติของไอแอลโอ

2. ลดทอนความยุ่งยากของกระบวนการขึ้นทะเบียน: กระทรวงแรงงานควรทบทวนและมุ่งมั่นในการรื้อระบบกระบวนการขึ้นทะเบียน รวมทั้งการออกบัตรประจำตัว/ใบอนุญาตทำงาน สำหรับแรงงานข้ามชาติที่เรียบง่าย มีระบบเดียว และครอบคลุม ก่อนการแก้ไขกระบวนการขึ้นทะเบียน กระทรวงแรงงานควรจัดการปรึกษาหารือในช่วงเวลาหนึ่งกับองค์กรภาคประชาสังคม และแกนนำแรงงาน กระทรวงแรงงานควรทบทวนและแก้ไขมาตรา 63/2 ย่อหน้า 3 ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 เพื่อขยายระยะเวลาการทำงานและพำนักอาศัยจากสองเป็นสี่ปี

3. ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ: กระทรวงแรงงานควรจัดเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ รวมทั้งบริการตรวจสุขภาพที่จำเป็น

4. การขยายศูนย์พิจารณาอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร อนุญาตให้ทำงานและออกเอกสารรับรองบุคคล (ศูนย์ CI): รัฐบาลควรเพิ่มจำนวนศูนย์ที่ออกหนังสือสำคัญประจำตัว (CI) เพื่อลดความล่าช้าในกระบวนการขึ้นทะเบียน

5. การลงทะเบียนออนไลน์ที่เข้าถึงได้: กระทรวงแรงงานควรออกแบบเว็บไซต์และแอปใหม่ให้เป็นมิตรกับแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคทางภาษาและเทคนิค ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้คนงานขึ้นทะเบียนได้ด้วยตนเองและเข้าถึงระบบได้

6. ประกันสุขภาพ และการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่เข้าถึงได้: กระทรวงแรงงานควรจัดให้มีประกันสุขภาพที่เป็นมิตรกับแรงงานข้ามชาติ รัฐบาลควรจัดให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยไม่คิดมูลค่า และเปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติสามารถขึ้นทะเบียนในระบบประกันสังคมได้ทันที หลังดำเนินการตามกระบวนการขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดซื้อประกันสุขภาพ

อ่านรายงานนี้ฉบับเต็ม

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: