ภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ของไทยลดลงเหลือ 2.6 ล้านล้านบาทในปี 2564

กองบรรณาธิการ TCIJ 2 มิ.ย. 2566 | อ่านแล้ว 1144 ครั้ง

ภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ของไทยลดลงเหลือ 2.6 ล้านล้านบาทในปี 2564

สำนักงานสถิติฯ และ สวทช. เปิดเวทีนำเสนอผลการศึกษาทางสถิติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ของไทยลดลงจาก 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2561 เหลือ 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2564 แม้มีผู้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน แต่ยังพบประเด็นที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนา ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร การเพิ่มพื้นที่ป่า การลดการนำเข้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพ

เมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2566 สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในฐานะหัวหน้าที่ปรึกษาโครงการฯ จัดเวทีนำเสนอผลการศึกษา “โครงการบูรณาการเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาสถิติทางการ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG” ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหาร BCG เพื่อติดตามผลดำเนินงานในประเด็นโมเดล BCG ต่อการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ทั้งในระดับประเทศและใน 2 จังหวัดนำร่อง (จันทบุรี และราชบุรี) ผลศึกษาพบเศรษฐกิจ BCG เปรียบเทียบทั้ง 2 จังหวัดมีทิศทางการพัฒนาที่ดีขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ลดลง โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ พร้อมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวง อว. ในฐานะผู้วางหลักการผลักดันและขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม หรือ BCG in action ให้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ BCG Economy Model : ความหวัง โอกาส และความท้าทาย

ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการบูรณาการเพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาสถิติทางการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่ติดตามข้อมูล ผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามแผน BCG ต่อการสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของ SDG ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจึงได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินโครงการฯ เพื่อจัดทำ (ร่าง) บัญชีสถิติทางการประเด็นโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13

โดยการติดตามผลการดำเนินงานโครงการฯ มี 2 ระดับ คือ

1) ระดับประเทศ พบว่าภาพรวมมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยปรับลดลง จาก 3.5 ล้านล้านบาท ในปี 2561 เหลือ 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2564 คนไทย 8.5 ล้านคนมีฐานะดีขึ้นเมื่อพิจารณาจากรายได้ต่อหัวที่สูงกว่า 10,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ระหว่างปี 2562 - 2564 และความเหลื่อมล้ำลดลง โดยความแตกต่างระหว่างค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนของกลุ่มประชากรที่มีฐานะเศรษฐกิจสูงสุด (10%) ต่อรายจ่าย ต่อคนต่อเดือนของกลุ่มที่มีฐานะต่ำสุด (40%) ปรับลดลงจาก 6.15 เท่าในปี 2560 เหลือ 5.68 เท่าในปี 2564 จำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน อย่างไรก็ตาม ยังพบประเด็นที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมายซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนา ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร การเพิ่มพื้นที่ป่า การลดการนำเข้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพ

2) ระดับจังหวัด (2 จังหวัดนำร่อง) พบว่า จังหวัดจันทบุรีมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงถึง 60% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (Gross Provincial Product: GPP) และจังหวัดราชบุรีมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG ประมาณ 30% ของ GPP ในภาพรวมทั้งสองจังหวัดมีทิศทางการพัฒนาที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สำคัญและต้องพัฒนาเพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะน้ำ
สำหรับการพัฒนาสินค้าเป้าหมายที่กำหนดโดยคณะกรรมการขับเคลื่อน BCG Model ของจังหวัด ประกอบไปด้วย สินค้าเป้าหมายของจังหวัดราชบุรี ได้แก่ มะพร้าวน้ำหอม ทุเรียน มันสำปะหลัง สุกร และกุ้งก้ามกราม และสินค้าเป้าหมายของจังหวัดจันทบุรี ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และกุ้งขาว พบว่า สินค้าเป้าหมายของทั้งสองจังหวัดมีจุดเด่นที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนสูงต่อผลิตภัณฑ์จังหวัด เช่น ทุเรียนมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GPP ภาคเกษตร อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญคือ การพึ่งพาตลาดส่งออกโดยเฉพาะจีนที่อาจมีความผันผวนของราคาเหมือนกรณียางพารา รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อเป้าหมาย Zero Waste เช่น ทุเรียนมีสัดส่วนเปลือกสูงถึง 75% ของน้ำหนักผลสด ซึ่งส่วนนี้ต้องการนวัตกรรมมาแก้ปัญหา หรือการบริหารจัดการน้ำที่ต้องพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้การบริหารจัดการปริมาณน้ำ ป้องกันปัญหาการแย่งชิงน้ำในช่วงฤดูแล้ง

ด้าน ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยไบโอเทคมีการดำเนินการภายใต้แนวคิดหลักของจตุภาคี ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาชน ตัวอย่างเช่น การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรแบบบูรณาการเชิงพื้นที่ (Area based) ในพื้นที่นำร่องจังหวัดราชบุรี ด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้เพื่อการยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับมะพร้าวน้ำหอมซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและใช้สารชีวภัณฑ์เพื่อการผลิตอาหารที่ปลอดภัย การพัฒนาวัคซีนเพื่อแก้ปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกา มีความร่วมมือในการดำเนินงานกับกรมประมงและมหาวิทยาลัยบูรพาในการพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงกุ้งทะเลให้เกิดความยั่งยืน

นอกจากนี้ ไบโอเทคยังมีการดำเนินงานในส่วนของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยข้าวเหนียวตาม BCG Model ในลักษณะการทำงานครบวงจรทั้งการเพิ่มผลผลิตข้าว การแปรรูปข้าว รวมถึงการใช้ประโยชน์ฟางข้าว การสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตทางการเกษตรรวมถึงเศษวัสดุทางการเกษตรที่มีอยู่มาก พัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่มีความเป็นมิตรต่อส่งแวดล้อม ขณะที่ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหาร ไบโอเทคได้เน้นการพัฒนาอาหารเพื่ออนาคต เช่น โปรตีนทางเลือก ตลอดจนยังร่วมมือกับมูลนิธิ Scholars of Sustenance Foundation (SOS Thailand) ในการพัฒนาธนาคารเพื่อส่งมอบอาหารส่วนเกินไปยังกลุ่มผู้เปราะบางด้วย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: