Rocket Media Lab: สำรวจ 'น้ำเสียใน กทม.' จะทำคลองให้ใสแค่ช่วงสั้นๆ หรือจะรื้อระบบระบายน้ำใหม่ให้ดี

กองบรรณาธิการ TCIJ 26 เม.ย. 2565 | อ่านแล้ว 7076 ครั้ง

Rocket Media Lab: สำรวจ 'น้ำเสียใน กทม.' จะทำคลองให้ใสแค่ช่วงสั้นๆ หรือจะรื้อระบบระบายน้ำใหม่ให้ดี พบกรุงเทพฯ บำบัดน้ำเสียจากชุมชนได้จริงเพียงประมาณ 42% ของปริมาณในแต่ละวัน เท่ากับวันๆ หนึ่ง มีน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด 58% หรือประมาณ 1.23 ล้าน ลบ.ม./วัน

  • ค่า BOD เป็นค่าที่ใช้บอกความเน่าเสียของน้ำ ยิ่งสูงหมายถึงยิ่งเน่าเสีย กรุงเทพฯ กำหนดมาตรฐานค่า BOD ไว้ที่ไม่เกิน 15 มก./ลิตร เท่ากับว่ามีเขตที่มีค่า BOD เกินกว่ามาตรฐานถึง 19 เขต 
  • คลองเตยเป็นเขตที่มีค่า BOD เฉลี่ยของคลองในเขตสูงสุด 26.33 มก./ลิตร ซึ่งคลองเตยมีจำนวนคลองในความรับผิดชอบของสำนักการระบายน้ำ 5 คลอง และของสำนักงานเขตอีก 4 คลอง 
  • บางกอกใหญ่ป็นเขตที่มีค่า BOD เฉลี่ยของคลองในเขตต่ำสุด 6 มก./ลิตร ซึ่งบางกอกใหญ่มีจำนวนคลองในความรับผิดชอบของสำนักการระบายน้ำ 3 คลอง และของสำนักงานเขตอีก 10 คลอง 
  • หนึ่งในอุปสรรคหลักของการแก้ไขปัญหาน้ำเสียในกรุงเทพฯ ก็คือ การที่กรุงเทพฯ ใช้ระบบท่อน้ำเสียรวม ไม่แยกระหว่างน้ำฝนกับน้ำทิ้งให้ชัดเจน ทำให้การบำบัดไม่มีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งปัญหาเรื้อรังของกรุงเทพฯ ก็คือเรื่องน้ำเน่าเสีย แม้ว่าปัจจุบันเราจะมีคลองโอ่งอ่างที่สวยใสจนเป็นที่เลื่องลือไปแล้ว แต่กรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่คลองโอ่งอ่างเพียงคลองเดียว กรุงเทพฯ มีคลองมากถึง 1,161 คลอง รวมความยาวกว่า 2,272,310 เมตร

คลองโอ่งอ่างสวยใสแล้ว แต่คลองแสนแสบล่ะ จะมีวันที่สวยใสเหมือนคลองโอ่งอ่างไหม

Rocket Media Lab ชวนมาทำความเข้าใจเรื่องปัญหาน้ำเน่าเสียในกรุงเทพฯ ว่านอกจากเรื่องการทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำลำคลอง การปล่อยน้ำเสียจากบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมลงแหล่งน้ำธรรมชาติแล้ว ยังมีปัจจัยอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้น้ำเน่าเสียและกรุงเทพฯ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้สักที 

กรุงเทพฯ กับการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย

กรุงเทพฯ พยายามแก้ไขปัญหาน้ำเสียมาโดยตลอด ด้วยความพยายามพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียและสร้างโรงบำบัดน้ำเสีย ซึ่งปรากฏให้เห็นตั้งแต่สมัยผู้ว่าฯ กทม. อรรถ วิสูตรโยธาภิบาล ที่อนุมัติงบฯ 250 ล้านบาทสร้างโรงบำบัดน้ำเสียที่ปลายคลองช่องนนทรี (และสร้างเสร็จในสมัยจำลอง ศรีเมือง) และในแผนพัฒนากรุงเทพฯ ฉบับที่ 1 ก็ได้วางแนวนโยบายการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียด้วยการพัฒนาระบบบำบัดน้ำและสร้างโรงบำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกัน ในขณะที่มาตรการทางกฎหมายนั้นมีให้เห็นในยุค ชลอ ธรรมศิริ กับการใช้มาตรการทางกฎหมายแก่คนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำและโรงงานอุตสาหกรรมที่ทิ้งของเสียลงในน้ำ และเทียม มกรานนท์ ที่มีการกำหนดข้อบัญญัติให้เอกชนเจ้าของโรงแรมหอพักและอาคารชุดดำเนินการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย

อันที่จริง ความพยายามจัดการน้ำเสียอย่างเป็นระบบในกรุงเทพฯ มีมาตั้งแต่ปี 2511 โดยบริษัท Camp Dresser & Maker Consulting Engineers (CDM) ได้เสนอแผนหลักระบบระบายน้ำ ระบบกำจัดน้ำเสียและป้องกันน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ แต่ด้วยปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้กรุงเทพฯ ต้องจัดการปัญหาเฉพาะหน้าอย่างน้ำท่วมก่อน จากนั้นก็เกิดสำนักการระบายน้ำขึ้นในปี 2520 ต่อมาในปี 2521 กรุงเทพฯ จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาน้ำเสียอย่างเป็นระบบ โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency: JICA) จนเกิดเป็น ‘แผนหลักระบบบำบัดน้ำเสีย พ.ศ. 2524’ ซึ่งก่อให้เกิดโครงการสร้างโรงบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ 2 โรง นั่นก็คือ โรงควบคุมคุณภาพน้ำรัตนโกสินทร์ ขนาดบำบัดน้ำเสีย 40,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และโรงควบคุมคุณภาพน้ำสี่พระยา ขนาดบำบัดน้ำเสีย 30,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งได้รับงบฯ สนับสนุนในการสร้างจากรัฐบาล โดยสร้างเสร็จในปี 2537 และเสร็จครบทั้ง 7 แห่ง ในปี 2549

ต่อมาก็คือแผนแม่บทในปี 2542 ซึ่งองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นได้เข้ามาช่วยอีกครั้ง โดยเสนอให้แบ่งพื้นที่การบำบัดน้ำเสียและจัดลำดับความสำคัญให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเมืองให้มากขึ้น โดยในแผนแม่บทจะมีการดำเนินการสร้างโรงบำบัดน้ำเสียทั้งสิ้น 18 โครงการ ซึ่งเสร็จไปแล้ว 7 โครงการ นอกจากนี้มีการปรับแผนอีกครั้งในปี 2554 ซึ่งในแผนนี้มุ่งศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียที่คำนึงถึงภาวะโลกร้อนในมิติต่างๆ ให้มากขึ้น เช่น การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมก๊าซเรือนกระจกในระบบบำบัดน้ำเสีย ฯลฯ

และในช่วงเวลาระหว่างนั้น เราก็จะได้เห็นแนวนโยบายหลักในการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียของผู้ว่าฯ แต่ละคนที่ดำเนินการตามแผนแม่บทเรื่อยมา โดยเฉพาะการสร้างโรงบำบัดน้ำเสียเพิ่มเติมตั้งแต่ยุคจำลอง ศรีเมือง มาจนถึงสุขุมพันธุ์ บริพัตร รวมกับ ‘โครงการรณรงค์’ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคผู้ว่าฯ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามทิ้งขยะลงคลอง เก็บผักตบชวา ฯลฯ และงานประจำอย่างการขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำ ที่เป็นการทำงานเพื่อประโยชน์สองด้านคือการระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วม และการระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำเน่าเสีย

แต่ถึงอย่างนั้น แนวนโยบายหลักของกรุงเทพฯ ในการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสียก็คือการสร้างโรงบำบัดน้ำเสีย ซึ่งตามมาด้วยคำถามที่ว่า สร้างมานานขนาดนี้แล้วทำไมยังแก้ปัญหาน้ำเสียไม่ได้สักที และต้องสร้างเท่าไรถึงจะแก้ปัญหาน้ำเสียได้

น้ำเสียมาจากไหน ทำไมถึงไหลลงคลอง

น้ำเสีย แบ่งตามแหล่งที่มาได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ น้ำเสียจากชุมชน จากโรงงานอุตสาหกรรม และจากการเกษตร โดยน้ำเสียที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบการจัดการน้ำเสียของกรุงเทพฯ และคูคลอง ก็คือน้ำเสียจากชุมชน ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากอาคารบ้านเรือน ร้านค้า ตลาด ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถาบันการศึกษา สถานที่ราชการ ฯลฯ

จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ คน กทม. ใช้น้ำประปารวม 2,637,009 ลบ.ม./วัน ซึ่งจากนั้นจะกลายมาเป็นน้ำเสียประมาณ 80% หรือ 2,109,607 ลบ.ม./วัน น้ำเสียจากชุมชนเหล่านี้จะถูกส่งไปบำบัดในโรงงานควบคุมคุณภาพน้ำก่อนจะปล่อยสู่แม่น้ำลำคลอง โดยปัจจุบันกรุงเทพฯ มีโรงควบคุมคุณภาพน้ำขนาดใหญ่ 8 แห่ง ได้แก่ที่ สี่พระยา รัตนโกสินทร์ ช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ ดินแดง จตุจักร และบางซื่อ ซึ่งครอบคลุมการบำบัดน้ำเสียใน 21 เขตของกรุงเทพฯ และมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 1,112,000 ลบ.ม./วัน 

นอกจากนั้นยังมีโรงควบคุมคุณภาพน้ำขนาดเล็กอีก 12 แห่ง ได้แก่ที่ ทุ่งสองห้อง 1 ทุ่งสองห้อง 2 บางบัว รามอินทรา ห้วยขวาง ท่าทราย บางนา บ่อนไก่ คลองเตย คลองจั่น หัวหมาก และร่มเกล้า ซึ่งมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 24,800 ลบ.ม./วัน

อย่างไรก็ตาม โรงควบคุมคุณภาพน้ำขนาดใหญ่ 8 แห่ง นั้นแม้จะมีความสามารถในการบำบัดน้ำเสียรวมกัน 1,112,000 ลบ.ม./วัน แต่ในความเป็นจริง บำบัดได้เพียง 866,414 ลบ.ม./วัน และโรงควบคุมคุณภาพน้ำขนาดเล็กอีก 12 แห่ง ที่มีความสามารถในการบำบัดน้ำเสียรวม 24,800 ลบ.ม./วัน ก็บำบัดได้จริงเพียง 14,589 ลบ.ม./วัน รวมแล้วกรุงเทพฯ สามารถบำบัดน้ำเสียได้จริงเพียง 881,003 ลบ.ม./วัน หรือ 41.76% ของน้ำเสียในแต่ละวันเท่านั้น เท่ากับว่าวันๆ หนึ่ง มีน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด 1,228,604 ลบ.ม./วัน หรือ 58.24% ของจำนวนน้ำเสียจากชุมชนเลยทีเดียว

ปัจจุบันกรุงเทพฯ กำลังก่อสร้างโรงควบคุมคุณภาพน้ำเพิ่มอีก 4 แห่ง ได้แก่ มีนบุรี ธนบุรี คลองเตย และหนองบอน มีกำหนดเสร็จภายในปี 2565 นี้ โดยจะสามารถบำบัดน้ำเสียได้วันละ 670,000 ลบ.ม./วัน

จะเห็นได้ว่า แม้กรุงเทพฯ จะมีโรงควบคุมคุณภาพน้ำเพิ่มแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อปริมาณน้ำเสียที่ต้องบำบัดต่อวันอยู่ดี ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าก็จะยังมีน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดหลายแสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด ไม่ว่าจะเกิดจากพื้นที่นั้นไม่อยู่ในเขตที่มีระบบบำบัดน้ำเสีย การปล่อยน้ำเสียไม่ผ่านระบบท่อที่จะนำสู่การบำบัดน้ำเสีย หรือการสูญเสียน้ำจากท่อระบายน้ำที่จะนำไปสู่ระบบบำบัดน้ำเสีย (เช่น ท่อรั่ว) ฯลฯ น้ำเสียเหล่านั้นก็จะไหลสู่แหล่งน้ำอย่างคูคลอง จนทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และแหล่งน้ำผิวดินตามธรรมชาติจนทำให้เกิดมลพิษได้เช่นเดียวกัน

ไม่ใช่แค่โรงบำบัดน้ำเสียไม่พอ แต่ระบบท่อรวมคือปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯ 

หากพิจารณาค่าเฉลี่ย BOD (Biological Oxygen Demand – ความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี) ซึ่งใช้วัดความเน่าเสียของน้ำ โดยหากมีมาก หมายถึงน้ำมีความสกปรกสูง จากข้อมูลค่า BOD เฉลี่ยของคลองในแต่ละเขตในปี 2564 จะพบว่าคลองเตยเป็นเขตที่มีค่า BOD สูงสุด 26.33 มก./ลิตร ซึ่งคลองเตยมีจำนวนคลองในความรับผิดชอบของสำนักการระบายน้ำ 5 คลอง และสำนักงานเขตอีก 4 คลอง มีชุมชน 39 แห่ง และสถานประกอบการอาหารรวม 849 แห่ง รองลงมาก็คือบางรัก มีค่า BOD 25 มก./ลิตร บึงกุ่ม 23.5 มก./ลิตร บางคอแหลมและลาดพร้าว 20 มก./ลิตร

สำหรับเขตที่มีค่า BOD เฉลี่ยจากคลองในเขตต่ำ ได้แก่ บางกอกใหญ่ 6 มก./ลิตร ซึ่งบางกอกใหญ่มีจำนวนคลองในความรับผิดชอบของสำนักการระบายน้ำ 3 คลอง และสำนักงานเขตอีก 10 คลอง มีชุมชน 30 แห่ง และสถานประกอบการอาหารรวม 134 แห่ง ตามมาด้วยทวีวัฒนา มีค่า BOD 6.5 มก./ลิตร และสัมพันธวงศ์ พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย เท่ากันที่ 7 มก./ลิตร

อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ กำหนดค่า BOD ไว้ที่ไม่เกิน 15 มก./ลิตร ซึ่งจากมาตรฐานนี้จะพบว่า มีเขตที่มีค่า BOD เกินกว่ากำหนดถึง 19 เขต ในขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะลดค่า BOD ในคลองในกรุงเทพฯ ให้ได้ไม่เกิน 4 มก./ลิตร ซึ่งจากข้อมูลจะพบว่าไม่มีเขตใดที่สามารถทำได้ถึงเป้าหมายนั้น

การมีโรงบำบัดน้ำเสียไม่เพียงพอ ไม่ใช่ปัญหาเดียวที่ทำให้เกิดน้ำเน่าเสียในกรุงเทพฯ แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงแหล่งน้ำ น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม การปล่อยน้ำที่ไม่ได้รับการบำบัดลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ฯลฯ และอีกหนึ่งปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาต้นทางของปัญหาน้ำเสียในกรุงเทพฯ ก็คือการที่กรุงเทพฯ (แต่เดิม) ใช้ระบบท่อน้ำเสียรวม ไม่แยกระหว่างน้ำฝนกับน้ำทิ้งให้ชัดเจน ทำให้น้ำทิ้งทั้งหมดเข้าสู่ท่อรวบรวมน้ำเสีย เพื่อส่งไปบำบัดที่โรงควบคุมคุณภาพน้ำ หากน้ำเสียในท่อรวมมีปริมาณมาก เช่นในหน้าฝน น้ำเสียส่วนเกินจะถูกปล่อยลงคลองที่บ่อดักน้ำเสียใกล้คลอง

ปริมาตรน้ำเสียที่เกินกว่าขีดความสามารถในการบำบัดของโรงบำบัดจะผ่านการบำบัดขั้นต้นโดยการแยกกรวดทรายก่อนระบายทิ้งลงคลอง ทำให้น้ำในลำคลองสกปรกยิ่งขึ้น ส่วนน้ำที่ไปบำบัดในโรงควบคุมคุณภาพน้ำก็เป็นไปอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีน้ำฝนที่มีคุณภาพดีกว่าปะปนจนทำให้น้ำเสียเจือจางลง

หากมีระบบท่อแยก น้ำฝนจะไหลไปในท่อน้ำทิ้งที่เป็นน้ำฝนและไหลลงแม่น้ำลำคลอง ซึ่งน้ำฝนที่ไม่ได้ปนเปื้อนน้ำเสียก็จะไม่เพิ่มความสกปรกให้กับแม่น้ำลำคลอง ขณะเดียวกัน เมื่อไม่ได้นำน้ำฝนและน้ำเสียมารวมกัน ก็ทำให้ปริมาณน้ำในท่อรวบรวมน้ำเสียลดลง ลดโอกาสที่จะต้องปล่อยน้ำเสียส่วนเกินลงคลองก่อนได้บำบัด อีกทั้งการบำบัดน้ำเสียที่โรงควบคุมคุณภาพน้ำก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากน้ำเสียไม่ถูกเจือจางจากน้ำฝน

โดยข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียในประเทศไทย จากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือไจก้า นอกจากการสร้างโรงบำบัดน้ำแล้ว ยังรวมไปถึงระบบท่อแยกอีกด้วย ซึ่งตรงกับข้อมูลจากวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘มาตรการบริหารจัดการน้ำทิ้งจากอาคารในประเทศไทย : ศึกษาแบบอย่างของประเทศญี่ปุ่น’ โดย อวิกา นุ่มนวล จากคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่เสนอให้มีการแก้ไขระบบท่อรวมเป็นท่อแยก โดยดำเนินแนวทางตามประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากในอดีตนั้นประเทศญี่ปุ่นมีปัญหาน้ำเสียเช่นเดียวกันกับประเทศไทย และหนึ่งในแนวทางการแก้ไขก็คือการสร้างระบบท่อแยก ที่ทำให้แม่น้ำในลำคลองหรือคลองระบายน้ำในญี่ปุ่นใสสะอาดดังเช่นทุกวันนี้

นอกจากปัญหาเรื่องระบบท่อแล้ว ยังรวมไปถึงปัญหาระบบกฎหมายที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องน้ำเสียที่มีหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือประกาศหรือข้อบังคับต่างๆ ของกรุงเทพมหานครเอง ซึ่งกำหนดค่ามาตรฐานน้ำเสียก่อนปล่อยไม่สอดคล้องกัน

ทำไมกรุงเทพฯ ถึงแก้ปัญหาน้ำเสียช้านัก 

การสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในเมืองระดับมหานครที่มีประชากรอาศัยอยู่จำนวนมากและหนาแน่น มีระบบผังเมืองที่เละ ไม่เป็นระเบียบมาช้านาน เป็นงานที่ยากเกินว่ากรุงเทพฯ จะจัดการได้ด้วยตัวเอง เพราะต้องใช้งบฯ มหาศาล อย่างความพยายามที่จะสร้างโรงควบคุมคุณภาพน้ำที่กินเวลามานานเกือบ 50 ปี ตั้งแต่สมัยอรรถ วิสูตรโยธาภิบาล

จะเห็นว่าโรงบำบัดน้ำเสียที่เสร็จโรงแรกคือสี่พระยา ที่เริ่มเดินระบบในปี 2537 แม้จะเป็นงบฯ ประมาณของกรุงเทพฯ 100% แต่โรงที่สร้างตามมาหลังจากเป็นงบประมาณร่วมจากรัฐบาลแทบทั้งสิ้น เนื่องด้วยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้งบฯ สูง อย่างโรงรัตนโกสินทร์ ใช้งบฯ จากรัฐบาล 100% จำนวน 883 ล้านบาท ดินแดง 6,382 ล้านบาท กรุงเทพฯ ออก 25% รัฐบาล 75% หรือช่องนนทรี หนองแขม ทุ่งครุ กรุงเทพฯ ออก 40% รัฐบาล 60% และจตุจักร คลองเตย กรุงเทพฯ ออก 60% รัฐบาล 40%

การขออนุมัติงบประมาณฯ จากคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลกลาง เพื่อดำเนินการสร้างโรงบำบัดน้ำเสีย (โดยเฉพาะในโครงการที่มีงบฯ สูงกว่า 1,000 ล้านบาท) ทำให้มีความล่าช้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นในยุคของสุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่แม้จะมีแนวนโยบายสร้างโรงบำบัดน้ำเสียเพิ่มจำนวนมาก แต่ก็ต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (หลังจากที่ในยุคอภิรักษ์ขอไปแล้วไม่อนุมัติ) อย่างเช่น ที่คลองเตย ซึ่งต้องใช้เงินสูงถึง 11,046 ล้านบาท

นี่ยังไม่ต้องคิดถึงว่าหากในอนาคต กรุงเทพฯ จะยกเครื่องระบบท่อน้ำรวม (เดิม) ของตนเองให้เป็นระบบท่อแยก ตามแนวทางการศึกษาและแนะนำจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่านอกจากจะต้องใช้เงินมหาศาล ที่ต้องพึ่งพางบฯ จากรัฐบาลกลางแล้ว ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกนานแค่ไหนไม่รู้ 

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ยังเห็นว่ากรุงเทพฯ พยายามจะปรับปรุงคุณภาพของคลองในกรุงเทพฯ โดยโครงการ ‘การปรับภูมิทัศน์’ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลองโอ่งอ่าง เพื่อจุดประสงค์ทางการท่องเที่ยว ด้วยงบฯ จากทางรัฐบาลและกรุงเทพฯ รวม 400 ล้านบาท ในระยะทาง 700 เมตร คลองช่องนนทรี กับงบฯ ของกรุงเทพฯ เองกว่า 980 ล้านบาท ที่เน้นโครงสร้างด้านบนเพื่อความสวยงามและการพักผ่อนหย่อนใจมากกว่าเรื่องการบำบัดน้ำเสีย โดยจากข้อมูลจะเห็นว่า ค่า BOD ของคลองเฉลี่ยในเขตสาทรนั้นไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โดยมีค่า BOD เฉลี่ยอยู่ที่ 18.86 มก./ลิตร

ภาพโดย คชรักษ์ แก้วสุราช

และในอนาคตอันใกล้ กรุงเทพฯ ก็มีโครงการพัฒนาคลองผดุงกรุงเกษม ที่ใช้งบประมาณเฉพาะในส่วนการปรับภูมิทัศน์กว่าร้อยล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองคูเมืองเดิม ด้วยงบฯ 200 ล้านบาท โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ คลองหลอดวัดราชนัดดาและคลองหลอดวัดราชบพิธ อีก 64 ล้านบาท 

ในขณะที่คลองแสนแสบนั้น มีปัญหาน้ำเน่าเสียอย่างหนัก ซึ่งในปี 2563 มีปริมาณน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดถูกปล่อยลงคลองแสนแสบและคลองสาขารวม 807,672 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีค่า BOD เฉลี่ย อยู่ระหว่าง 6.9 -12.2 มก./ลิตร การฟื้นฟูคลองแสนแสบนั้นรัฐบาลกลางลงมาเป็นเจ้าภาพ โดยได้อนุมัติงบฯ 82,563.87 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 11 ปี (พ.ศ.2564 – 2574) รวม 84 โครงการ

โดยในปี 2564 จะสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 1 แห่ง สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 10,000 ลบ.ม./วัน ปี 2565-2570 จะสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 5 แห่ง สามารถบำบัดน้ำเสียได้ 661,000 ลบ.ม./วัน และปี 2571-2574 จะสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 5 แห่ง บำบัดน้ำเสียได้ 597,000 ลบ.ม./วัน

จะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องน้ำเน่าเสียในกรุงเทพฯ นั้น เต็มไปด้วยความซับซ้อนทั้งเรื่องผังเมือง โรงบำบัดน้ำเสีย ระบบท่อรวบรวมน้ำ งบประมาณ การดำเนินการ รวมไปถึงการบริหารจัดการของกรุงเทพฯ เอง มากไปกว่าการขาดความรับผิดชอบของประชาชนที่ทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูลลงแม่น้ำลำคลองเพียงอย่างเดียว

มากไปกว่านั้น การแก้ปัญหาเรื่องน้ำเสียในกรุงเทพฯ เป็นโจทย์ที่จะต้องตั้งคำถามดีๆ ว่า เราต้องการคลองที่สวยใสเพื่อไปเดินเล่นถ่ายรูป หรือระบบการระบายน้ำการกำจัดน้ำเสียที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพกันแน่

 

ดูข้อมูลพื้นฐานค่า BOD เฉลี่ยของคลองรายเขตได้ที่นี่ https://rocketmedialab.co/database-bkk-polluted-water/ 

อ้างอิง

 

 

เกี่ยวกับ Rocket Media Lab

Rocket Media Lab คือแหล่งข้อมูลติดตามประเด็นสังคม ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อต่อยอดในงานข่าว

เอกลักษณ์ของ Rocket Media Lab คือการคัดเลือกโจทย์วิจัยจากประเด็นที่มีคุณค่าข่าว (newsworthy) นำเสนอเป็นสองส่วน คือ 1) ฐานข้อมูลดิบ เป็นฐานข้อมูลสาธารณะให้สื่อมวลชนและผู้ที่สนใจสามารถอ้างอิงได้ และ 2) บทวิเคราะห์ เป็นบทความความคิดเห็นที่ตั้งอยู่บนฐานข้อมูล

Rocket Media Lab ออกแบบการวิจัยด้วยระเบียบวิธีหลากหลาย อาทิ การค้นคว้าสอบทานจากฐานข้อมูลสาธารณะ ทั้งที่มีอยู่แล้วและที่รวบรวมขึ้นใหม่ การสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมของคน ผ่านแบบสอบถามหรือเครื่องมือติดตามบทสนทนาในสื่อสังคม การทบทวนวรรณกรรม และการสัมภาษณ์

Rocket Media Lab ได้รับทุนสนับสนุนการดำเนินงานจาก National Endowment for Democracy (NED) เป็นเวลา 1 ปีนับตั้งแต่ 1 ต.ค. 2563 จนถึง 30 ก.ย. 2564

https://rocketmedialab.co
https://www.facebook.com/rocketmedialab.co
https://twitter.com/rocketmedialab
contact.rocketmedialab@gmail.com

 
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: