‘สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15’ หนุนสร้างระบบหลักประกันรายได้ ดันเป็นวาระแห่งชาติ

กองบรรณาธิการ TCIJ 23 ธ.ค. 2565 | อ่านแล้ว 1991 ครั้ง

เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ร่วมหนุนทุกภาคส่วนประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนมติ 3 ระเบียบวาระ หนุนใช้ BCG ยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือนฐานราก – สะสมข้อมูลการออกกำลังกาย การเล่นกีฬาของประชาชน เป็นข้อมูลกลางเพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ – สร้างระบบหลักประกันรายได้ ดันเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อความมั่นคงและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุให้กับประชาชนทุกคน ประธาน คจ.สช. แง้ม 7 ประเด็นใหม่เตรียมพัฒนาสู่ระเบียบวาระสมัชชาฯ ครั้งที่ 16

เมื่อวันที่ 21-22 ธ.ค. 2565 ได้มีการจัดงาน เวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 พ.ศ.2565 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย จัดขึ้นตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ภายใต้ประเด็นหลัก “ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ โอกาสและความหวังอนาคตประเทศไทย” โดยมีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพทั่วประเทศเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ ณ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการ คอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ

โดยในวันที่ 21 ธ.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน นายอนุทิน ปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งในพิธีเปิดการประชุม ระบุว่า ที่ผ่านมาผลงานด้านสุขภาพของประเทศไทยเป็นที่ประจักษ์ในสายตาชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นความครอบคลุมของระบบบริการสุขภาพ มาตรฐานการให้บริการด้านสาธารณสุข ตลอดจนความสามารถในการควบคุมรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนของสังคม และผลจากการที่ประเทศไทยมีระบบบริการสุขภาพและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งระบบอาสาสมัครจิตอาสา ที่แข็งแกร่งและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

“วิกฤตโรคระบาดที่ผ่านมาเป็นข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่า เรื่องสุขภาพมีความหมายและความสำคัญมากกว่าเรื่องการเจ็บป่วย แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ และเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น กลุ่มประชาชนที่ได้รับผลกระทบมากและรุนแรงที่สุดคือกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ แรงงานข้ามชาติ เป็นต้น ขณะเดียวกันเราต่างรับรู้ถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในสังคม ความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ความเข้มแข็งของการเกื้อกูลกันในระดับชุมชน ทั้งหมดนี้จึงเป็นความหวัง เป็นโอกาส และเป็นอนาคตของประเทศไทย ตามแนวคิดหลักของสมัชชาสุขภาพฯ ครั้งนี้” นายอนุทิน กล่าว

บนเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในวันนี้ นายอนุทิน ยังได้ร่วมกับคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) และเครือข่ายสมัชชาสุขภาพทั่วประเทศ ในการประกาศเจตนารมณ์ของเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายหลักของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ได้แก่ 1.จะสนับสนุนให้มีการใช้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือนฐานราก ลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดความยากจนข้ามรุ่น และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.จะสนับสนุนให้ประชาชนมีการออกกำลังกาย เล่นกีฬา และมีกิจกรรมทางกายอื่นๆ สะสมเป็นข้อมูลกลางเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ควบคุมป้องกันโรค และสร้างสังคมสุขภาวะ 3.จะสนับสนุนให้มีระบบหลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ เพื่อความมั่นคงและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุให้กับประชาชนทุกคน

นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 15 พ.ศ.2565 กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายในครั้งนี้ ถือเป็นการให้คำมั่นสัญญาที่ทุกฝ่ายจะมาร่วมกันสร้างฉันทมติและเดินหน้าขับเคลื่อนตามระเบียบวาระของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ทั้ง 3 ประเด็น ประกอบด้วย

มติที่ 1 การขจัดความยากจนตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG: การยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือน มีเนื้อหาที่มุ่งให้ทุกภาคส่วนของสังคม มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความยากจน ผ่านการประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ที่มีการนำองค์ความรู้และนวัตกรรม มาหนุนเสริมทุนทางธรรมชาติและทุนทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจครัวเรือนฐานราก

มติที่ 2 การขับเคลื่อนแพลตฟอร์มเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลสถิติการออกกำลังกาย และการเล่นกีฬาของประชาชน (Calories Credit Challenge: CCC) ภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) มีเนื้อหาในการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนมีการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา โดยใช้แพลตฟอร์ม CCC เป็นเครื่องมือในการกระตุ้น จูงใจ ด้วยการสะสมปริมาณแคลอรี่ และจัดเก็บเป็นข้อมูลกลาง (Big Data) สำหรับติดตามประเมินผล พร้อมนำมาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมกีฬาและการท่องเที่ยว เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ

มติที่ 3 หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เป็นกรอบทิศทางนโยบาย (Policy Statement) เพื่อนำไปสู่การจัดให้มีระบบหลักประกันรายได้ฯ ที่คนในสังคมทุกช่วงวัย ทุกสาขาอาชีพจากทุกภาคส่วน ร่วมเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน ภายใต้ 5 องค์ประกอบหลักที่มีความเชื่อมโยงและต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน โดยทั้ง 3 มตินี้ได้ผ่านการพิจารณาของภาคีสมาชิกสมัชชาสุขภาพของแต่ละประเด็น ซึ่งได้มีฉันทมติเห็นชอบร่วมกันไปแล้วเมื่อวันที่ 1, 15, 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตามลำดับ

ด้าน นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ทั้ง 3 ระเบียบวาระที่เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ล้วนเป็นนโยบายสาธารณะที่มุ่งตอบโจทย์ประเด็นปัญหาสำคัญของประเทศ อย่างเช่น มติเรื่องของหลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ ซึ่งกำลังจะตามมาด้วยภาระค่าใช้จ่ายอันส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้บริบทหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ซ้ำเติมด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีนโยบายหรือระบบที่มีประสิทธิภาพมารองรับจะกระทบกับความมั่นคงของทุกครอบครัว

“มตินี้เป็นการวาง 5 เสาหลัก ที่จะนำไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ คือ 1. การพัฒนาผลิตภาพและรายได้ประชากรทุกช่วงวัย 2. เงินอุดหนุนและบริการที่จำเป็นจากรัฐ 3. การออมระยะยาว การบริหารจัดการเงิน 4. การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพ การบริการสุขภาพระยะยาว (Long-term care) 5. การร่วมกันดูแลของครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นการวางระบบใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทุกวัย ไม่ใช่เพียงเรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น นี่จึงเป็นเรื่องระยะยาวที่เราจะต้องใช้เวลาหลังจากนี้ร่วมกันผลักดัน และขับเคลื่อนให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป” นพ.ประทีป กล่าว

วันสุดท้ายของงาน (22 ธ.ค.) ยังมีผู้เข้าร่วมอย่างคึกคัก และภายในงานมีการปาฐกถาโดย ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในหัวข้อ “นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสังคม: โอกาสและความหวังอนาคตของประเทศไทย”

‘2 องค์ปาฐก’ ชี้โอกาส ‘เทคโนโลยี-สังคมสูงวัย’ คจ.สช. แง้ม 7 ประเด็นพัฒนานโยบายฯ ปี 2566

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า ความคิดใหม่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หรือดีกว่าความคิดเก่าเสมอไป เพราะในหลายครั้งความคิดเก่าๆ ก็ถูกนำกลับมาให้ความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแพทย์แผนดั้งเดิม ที่ปัจจุบันถูกนำมาวิพากษ์การแพทย์สมัยใหม่ หรือการนวดแผนไทยที่มีมาแต่โบราณ ทุกวันนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นการนวดที่ดีที่สุดในโลก คล้ายกับการเล่นโยคะของอินเดีย ที่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งสมัยใหม่ในโลกตะวันตก

“การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกล้วนเป็นการคลุกเคล้าสิ่งเก่าเข้ากับสิ่งใหม่ บางชุดความรู้โบราณนั้นดีกว่าจริง แต่เราก็ไม่ได้จะทิ้งความเลอเลิศที่เป็นปัจจุบัน เพียงแต่ไปรับเอาความคิดดั้งเดิมมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งคนในแต่ละยุคมักคิดว่าตัวเองเป็นคนแห่งยุคสมัยทั้งนั้น แต่อนาคตคนในยุคนี้ก็จะกลายเป็นมนุษย์โบราณ ฉะนั้นการคิดนวัตกรรมจะต้องคิดให้ผ่านยุคสมัยด้วย และอย่าไปคิดว่าของเก่านั้นไม่ดี เพราะนวัตกรรมจำนวนมากก็ได้มาจากการศึกษาของเก่า แล้วเอากลับมาปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับยุคสมัย” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว

รมว.อว. กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยเองก็มีศักยภาพในการดำเนินนวัตกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ภายใน 6 ปีข้างหน้านี้เตรียมจะสร้างยานอวกาศที่สามารถโคจรรอบดวงจันทร์ การใช้เครื่องมือโทคาแมค (Tokamak) เพื่อศึกษาปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น การมีเครื่องฉายแสงซินโครตรอนเป็นประเทศเดียวในภูมิภาค เป็นต้น หรือแม้แต่เรื่องของแนวความคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ที่ไทยเป็นผู้ผลักดันจนได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งก็เป็นนวัตกรรมในแง่ของการสร้างแนวความคิดการพัฒนา

“แนวคิดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างประเทศภูฏาน ก็เป็นผู้ที่ริเริ่มแนวคิดเรื่องความสุขมวลรวม หรือ GNH ขึ้นและเป็นที่สนใจไปในทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยเองก็ไม่ควรนำเข้านวัตกรรมหรือรับเอาแนวความคิดสากลเข้ามาอย่างเดียว แต่เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายส่งออกนวัตกรรม องค์ความรู้ของเราด้วย หนึ่งในนั้นคือ BCG เป็นแนวคิดที่เราส่งออกไปแล้ว และยังมีความรู้หรือแนวคิดอื่นๆ ที่เราส่งให้กับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หรือกระบวนการสมัชชาสุขภาพ เองก็ตาม” รมว.อว. กล่าว

ขณะที่ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ประธานกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) และอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้ปาฐกถาหัวข้อ “สู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์: โอกาสและทางออกของประเทศไทย” ระบุตอนหนึ่งว่า จากรายงาน Global Wealth Report ได้ยกให้ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยเหตุผลของความเหลื่อมล้ำที่สูงเช่นนี้ มาจากการถือครองทรัพย์สิน 67% ที่กระจุกอยู่กับประชากรร่ำรวยเพียง 1% ยังไม่นับรวมถึงความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา หรือระบบสุขภาพ ที่เรามีจำนวนแพทย์ต่อหัวประชากรในแต่ละพื้นที่ไม่เท่าเทียมกัน เป็นต้น

รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ ก็จะดูแต่เฉพาะมิติทางสุขภาพอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดูในทุกมิติเพราะทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันกันทั้งหมด เป็นความเหลื่อมล้ำในเชิงโครงสร้าง ที่อาจสรุปได้ใน 3 ลักษณะ คือ 1. ความเหลื่อมล้ำในโอกาส 2. ความเหลื่อมล้ำในอำนาจ 3. ความเหลื่อมล้ำในสิทธิ และสิ่งเหล่านี้จะน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้น เมื่อประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่หนักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นต่อไปที่จะต้องแบกรับภาระจากปัญหาของโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง

“หลักการหรือแนวคิดที่สำคัญที่สุด คือเราจะต้องทำให้คนแก่ช้าลงที่สุด แม้ว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะเป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น แต่สิ่งที่เราทำได้คือการวางระบบเพื่อยืดเวลานี้ออกไปให้นานที่สุด เพราะคำว่าแก่หลังจากนี้จะไม่ได้ดูที่ตัวเลขอีกต่อไป แต่ต้องตีความใหม่ ว่าแก่นั้นหมายถึงภาวะที่เราเริ่มพึ่งพาตนเองไม่ได้ ฉะนั้นตราบใดที่เรายังทำงาน ยังพึ่งพาตัวเองได้ เราก็จะยังไม่แก่ ฉะนั้นเราจึงต้องมาวางมาตรการ ออกแบบระบบเพื่อรองรับเรื่องนี้” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว

รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการออกแบบอาจคำนึงถึงใน 4 มิติ คือ 1. เศรษฐกิจ ซึ่งในอนาคตเราไม่อาจเกษียณด้วยอายุ 60 ปีได้อีกต่อไป แต่ยังต้องทำงานต่อตราบเท่าที่ยังมีกำลัง รวมถึงระบบที่สนับสนุนและเอื้อให้เกิดการออม โดยอาจมีข้อเสนอ เช่น เก็บค่าธรรมเนียมการออมเพิ่มอีก 3% จาก VAT 7% เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการออมได้ 2. สภาพแวดล้อม เช่น การออกแบบอาคารสถานที่ที่เหมาะสมกับคนทุกวัย 3. สุขภาพ ทำให้คนแข็งแรงนานที่สุดก่อนที่จะป่วยและเสียชีวิต รู้จักการส่งเสริมสุขภาพ พฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ การป้องกันโรค 4. ชุมชน ท้องถิ่น สังคม ที่จะต้องเตรียมความพร้อมเพราะเป็นส่วนของการรองรับผู้สูงอายุอีกจำนวนมากในอนาคต

ทั้งนี้ ในช่วงท้ายของงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ยังได้มีการประกาศประเด็นพัฒนาเป็นระเบียบวาระสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 พ.ศ.2556 ประกอบด้วย 1. การป้องกันและลดความรุนแรงในสังคมไทย สะท้อนจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ จ.หนองบัวลำภู 2. การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพภายใต้แนวคิด BCG Model 3. การบริหารจัดการน้ำเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม 4. ระบบยุติธรรมชุมชน ลดความขัดแย้ง เพิ่มสุขภาวะสังคม 5. การกระจายอำนาจสู่พื้นที่อย่างมีส่วนร่วม 6. การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7. การพัฒนาระบบสุขภาพจิต

นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 15-16 พ.ศ.2565-2566 กล่าวว่า ทั้ง 7 หัวข้อดังกล่าว เป็นประเด็นที่ได้มีการหยิบยกและถูกสะท้อนออกมาผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพฯ ในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน คจ.สช. ก็ยังยินดีที่จะเปิดรับประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมจากภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพ เพื่อนำมาพัฒนาเป็นนโยบายสาธารณะร่วมกันต่อไปในระยะหลังจากนี้ ผ่านเส้นทางของกระบวนการสมัชชาสุขภาพทุกระดับ ไม่ว่าจะในระดับชาติ ระดับพื้นที่ หรือในรายประเด็น

“ในส่วนของมติสมัชชาฯ ทั้ง 3 ระเบียบวาระที่มีการเคาะรับรองในครั้งนี้ ก็จะไม่ใช่การเคาะแล้วจบไป แต่จะเป็นการเคาะเพื่อเริ่มต้นกระบวนการ โดยเฉพาะในเรื่องของหลักประกันรายได้และคุณภาพชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ที่จะต้องร่วมกันพัฒนาแนวทางต่อไปในระยะหลังจากนี้ ควบคู่ไปกับ 7 ประเด็นใหม่ที่ถูกสะท้อนขึ้นมา” นายชาญเชาวน์ กล่าว

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: