ศาล รธน.ไม่ยุบ 'พรรคอนาคตใหม่' จากคำร้อง 'ล้มล้างการปกครอง'

กองบรรณาธิการ TCIJ 21 ม.ค. 2563 | อ่านแล้ว 1940 ครั้ง

ศาล รธน.ไม่ยุบ 'พรรคอนาคตใหม่' จากคำร้อง 'ล้มล้างการปกครอง'

องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ จากคำร้อง 'ล้มล้างการปกครอง' ประเด็นแรก ข้อบังคับพรรคไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครอง และประเด็นที่สอง การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและการแสดงความเห็นต่อสาธารณชนไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ จึงเห็นว่าไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครอง | ที่มาภาพ: แนวหน้า

21 ม.ค. 2563 เว็บไซต์แนวหน้า รายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 11.50 น.ที่ศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคดีที่ นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ , นายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

ล่าสุดองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยประเด็นแรกข้อบังคับพรรคไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครอง และประเด็นที่สอง การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและการแสดงความเห็นต่อสาธารณชนไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ จึงเห็นว่าไม่มีลักษณะล้มล้างการปกครอง

ด้าน เว็บไซต์ประชาไท รายงานว่า ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นบัลลังค์อ่านคำวินิจฉัย มีใจความว่า กรณีที่ผู้ร้อง (ณฐพร) ระบุว่าการที่ อนค. ออกข้อบังคับ นโยบายและสัญลักษณ์ เป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพเพื่อเป็นปฏิปักษ์ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น การออกข้อบังคับของพรรคการเมือง เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยเอกสาร หลักฐานที่ต้องยื่นไปตามคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นต้องประกอบด้วยข้อบังคับพรรค ที่ไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ ข้อบังคับต้องมีภาพ เครื่องหมายและนโยบาย

เมื่อหลักฐานที่ยื่น คำขอที่ยื่นมีความถูกต้อง ครบถ้วน ตามมาตราที่ 13 14 และ 15 ของของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบจาก กกต. ดำเนินการรับจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองแล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะเห็นได้ว่ากระบวนการยื่นคำร้องจัดตั้งพรรคนั้น ผู้ยื่นคำขอต้องยื่นข้อบังคับพรรคไปกับคำขอ หากคำขอและเอกสารหลักฐานที่มีความถูกต้องครบถ้วน นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบ กกต. จะเห็นชอบจัดตั้งและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

เมื่อผู้ถูกต้องที่ 2 ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งพรรค อนค. นายทะเบียนโดยความเห็นชอบจาก กกต. รับจัดตั้งเป็นพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 17 และประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองในราชกิจจานุเบกษา กรณีนี้ย่อมแสดงว่า ข้อบังคับพรรคไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 ใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรค 1

อย่างไรก็ดี การยื่นคำร้องคงเป็นเพียงข้อห่วงใยของผู้ร้องในฐานะพลเมืองที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบการปกครองของประเทศ ถ้อยคำของผู้ถูกร้องที่1 ที่ใช้ถ้อยคำว่า หลัประชธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองข้อที่ 6 วรรค 2 ว่า อนค. ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ การใช้ข้อความในข้อบังคับพรรคการเมืองนั้นควรจะให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ ต่างไปจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 2 ที่ว่าประเทศไทยมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ ซึ่ง กกต. มีหน้าที่ อำนาจพิจารณาให้เพิกถอนข้อบังคับนั้นได้เพื่อป้องกันความสับสนและความขัดแย้ง จึงสมควรให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต่อไป

ส่วนคำร้องที่ระบุว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 3 และ 4 มีทัศนคติคลั่งไคล้ตะวันตก มีแนวคิดเป็นปฏิกษัตริย์นิยม ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทย จากการแสดงความคิดเห็นในหลายช่องทาง หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งพรรคนั้น เห็นว่าการพิจารณาว่าคนใดจะแสดงความเห็นล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย ในระดับที่วิญญูชนคาดให้เห็นว่าอาจคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลว่าเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องดำเนินอยู่และไม่เห่างไกลเกินกว่าเหตุ แต่ข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏในคดีเป็นเพียงข้อมูล ข่าวสาร เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์และอินเทอร์เน็ต และยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีพฤติการณ์ หรือการกระทำตามความคิดเห็นที่ผู้ร้องกล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 4 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1

ส่วนกรณีอื่นใดของผู้ถูกร้องทั้ง 4 จะเป็นการกระทำที่มีความผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ ก็จะต้องว่ากล่าวกันต่างหากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยว่าการกระทำของผูุ้ถูกต้องทั้ง 4 ตาที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ไม่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1

ส่วนเพจ The Reporters รายงานสถานการณ์ ณ ที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ที่มีสื่อมวลชนและผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ไปรวมตัวที่นั่น โดยพบว่าหลังศาลอ่านคำวินิจฉัยเสร็จสิ้น มวลชนผู้สนับสนุนต่างแสดงความดีใจ และได้ชูสามนิ้วพร้อมตะโกน "ประยุทธ์ออกไป" "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"

ทั้งนี้ พรรคอนาคตใหม่ยังเหลือคิวรอฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ กกต. กล่าวอ้างว่าพรรคอนาคตใหม่ฝ่าฝืนมาตรา 72 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง กรณีที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบ ในกรณีกู้เงินกับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: