'ราชบุรีโฮลดิ้ง' แจงกรณีเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวทรุดตัว เร่งประเมินสถานการณ์เพื่อแก้ไข

กองบรรณาธิการ TCIJ 25 ก.ค. 2561 | อ่านแล้ว 2490 ครั้ง

'ราชบุรีโฮลดิ้ง' แจงกรณีเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวทรุดตัว เร่งประเมินสถานการณ์เพื่อแก้ไข

บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินการอพยพประชาชนรอบเขื่อนผลิตไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าเซเปียน-เซน้ำน้อยในลาวที่เกิดทรุดตัวทำให้น้ำไหลท่วมเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้เร่งประเมินสถานการณ์เพื่อเข้าแก้ไขทันทีที่ระดับน้ำลดลง ระบุการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใกล้แล้วเสร็จ และมีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2562 พบการออกแบบก่อสร้างมีความท้าทาย องค์กรแม่น้ำนานาชาติชี้เป็นบทเรียนเรื่องออกแบบเขื่อนและการเตือนภัย ที่มาภาพ: bbc.com

Energy News Center รายงานเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2561 ว่าบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าบริษัทได้รับแจ้งจากบริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด ซึ่งราชบุรีโฮลดิ้งถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 25 และผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ตั้งอยู่ที่แขวงจำปาสัก ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าเมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2561 เขื่อนดินย่อยกั้นช่องเขา ส่วน D (Saddle Dam D) ขนาดสันเขื่อนกว้าง 8 เมตร ยาว 770 เมตร และสูง 16 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเสริมการกั้นน้ำรอบอ่างเก็บน้ำเซน้ำน้อย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย เกิดการทรุดตัว ส่งผลให้สันเขื่อนดินย่อยดังกล่าวเกิดรอยร้าวและน้ำไหลออกไปสู่พื้นที่ท้ายน้ำ และลงสู่ลำน้ำเซเปียนที่อยู่ห่างจากพื้นที่เขื่อนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยเหตุที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพายุฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำจำนวนมากไหลเข้าสู่พื้นที่กักเก็บน้ำของโครงการฯ

ขณะนี้บริษัท ไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบเพื่อความปลอดภัยไปยังสถานที่พักพิงชั่วคราวตามแผนฉุกเฉินที่กำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้เร่งดำเนินการประเมินสถานการณ์ เพื่อที่จะเข้าไปดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วนเมื่อปริมาณน้ำในเขื่อนดังกล่าวลดลง หากมีความคืบหน้าประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างมีความก้าวหน้าประมาณร้อยละ 90 และกำหนดจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าเหตุการณ์สันเขื่อนแตกร้าวครั้งนี้ จะกระทบกับกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ราชบุรีโฮลดิ้งได้กำหนดทดสอบระบบเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าในปีนี้ และจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562

สำหรับการก่อสร้างโครงการเซเปียน เซน้ำน้อยจะใช้เวลารวม 64 เดือน และปัจจุบันการก่อสร้างก้าวหน้าถึง 90% โดยเฉพาะงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ 3 แห่งตั้งอยู่ในแขวงจำปาสัก ประกอบด้วย ฝายห้วยหมากจัน เขื่อนเซเปียน และเขื่อนเซน้ำน้อย ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และเริ่มเก็บน้ำแล้วเมื่อปี 2560 และมีปริมาณน้ำ 71% ณ เดือน พ.ค. 2561 ที่ผ่านมา ส่วนงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในแขวงอัตตะปือ อยู่ระหว่างติดตั้งกังหันพลังน้ำและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 4 ชุด

จากเอกสารข่าวที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของราชบุรีโฮลดิ้ง พบว่าโครงการนี้ เป็นความท้าทายของงานออกแบบและก่อสร้างทางวิศวกรรมของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้ เนื่องจากเป็นการออกแบบอ่างเก็บน้ำถึง 3 ระดับ โดยมีการขุดเจาะอุโมงค์ผันน้ำในแนวราบยาวรวม 13.59 กิโลเมตร ด้วยเทคโลโนยี (Tunnel Boring Machine: TBM) และแนวดิ่งสูง 458 เมตร ทำให้เพิ่มระดับความสูงของน้ำถึง 650 เมตร เพื่อสร้างแรงดันน้ำในการหมุนกังหันผลิตไฟฟ้าโดยใช้ปริมาณน้ำน้อยมาก

องค์กรแม่น้ำนานาชาติชี้เป็นบทเรียนเรื่องออกแบบเขื่อนและการเตือนภัย

สำนักข่าวประชาไท รายงานเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2561 ว่ากรณีสันเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า "เซเปียน-เซน้ำน้อย" แตกคืนวันที่ 23 ก.ค. ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมที่เมืองสะหนามไซ แขวงอัตตะปือ ทางตอนใต้ของลาว โดยเขื่อนที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างดังกล่าวผู้ลงทุนคือ บริษัทไฟฟ้า เซเปียน-เซน้ำน้อย จำกัด (PNPC)

สำหรับบริษัท PNPC เป็นการร่วมทุนของบริษัทข้ามชาติ 4 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท SK Engineering and Construction จำกัด ถือหุ้น 26% บริษัท Korea Western Power จำกัด ถือหุ้น 25% บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 25% และ Lao Holding State Enterprise ถือหุ้น 24% หากก่อสร้างเสร็จจะมีกำลังผลิต 410 เมกะวัตต์ โดยตามสัญญาจะขายไฟฟ้าให้ กฟผ. 370 เมกะวัตต์ เป็นเวลา 27 ปีขณะที่ราชบุรีโฮลดิ้งชี้แจงว่า 1 ใน 5 สันเขื่อนกั้นช่องเขา คือสันเขื่อนส่วน D แตกร้าว โดยอยู่ระหว่างประเมินความเสียหาย แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งกระทบต่อการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในปีหน้านั้น

ขณะเดียวกัน องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ในวันนี้ (24 ก.ค.) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกรณีเขื่อนแตกที่แขวงอัตตะปือ โดยตอนหนึ่งระบุว่า "เขื่อนแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเขื่อนขั้นบันไดเซเปียน-เซน้ำน้อย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมดห้าเขื่อน เป็นเขื่อนลักษณะที่เรียกว่า เขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ (saddle dam) หมายถึงเป็นเขื่อนเสริมพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมน้ำในอ่างเก็บน้ำที่เกิดจากเขื่อนหลัก เพื่อให้สามารถยกระดับน้ำให้สูงขึ้นและเก็บน้ำได้ โครงการนี้ตั้งอยู่บนลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง จุดที่แม่น้ำเซเปียนบรรจบกับแม่น้ำโขง ที่ปากเซ"

"จากข้อมูลที่มีอยู่ บริเวณเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ D ของโครงการเซเปียน-เซน้ำน้อยได้แตกออกประมาณสองทุ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา"

องค์กรแม่น้ำนานาชาติ ให้ข้อมูลด้วยว่า "เมื่อวานนี้ (23 กรกฎาคม) หัวหน้าโครงการจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้ประชาชนของโครงการ ส่งจดหมายไปถึงหัวหน้าแผนกจัดสรรที่อยู่ใหม่ของโครงการที่แขวงจำปาสักและแขวงอัตตะปือ โดยระบุว่าสภาพการณ์อันตรายอย่างมาก เนื่องจากมีน้ำหลากจากแนวสันเขื่อน และเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ D ใกล้จะแตกออก จดหมายระบุว่า หากเขื่อนแตก น้ำปริมาณ 5,000 ล้าน ลบ.ม. จะไหลไปด้านท้ายน้ำเข้าสู่แม่น้ำเซเปียน ในจดหมายระบุให้มีการเร่งเตือนฉุกเฉินแจ้งให้หมู่บ้านด้านท้ายน้ำอพยพและย้ายไปอยู่ในที่สูง ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังมีการออกจดหมาย (ในค่ำของวันจันทร์) เขื่อนได้แตกออก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมทะลักในปริมาณมหาศาลไปด้านท้ายน้ำ การแตกของเขื่อนเป็นผลมาจากฝนที่ตกหนักตามฤดูอย่างต่อเนื่อง และฝนที่ตกหนักโดยเฉพาะในพื้นที่นี้เมื่อวันจันทร์ ส่งผลให้กว่า 4,000 ครอบครัว (บางตัวเลขระบุว่ากว่า 6,600 ครอบครัว) ต้องสูญเสียบ้านเรือนและทรัพย์สินเนื่องจากถูกน้ำท่วม และมีผู้สูญหายกว่า 200 คน มีหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมอย่างน้อยเจ็ดแห่งประกอบด้วย บ้านท่าบก หินลาด สมอใต้ ท่าแสงจัน ท่าหินใต้ ท่าบก ท่าม่วง เขต สนามชัย แขวงอัตตะปือ

"ชาวบ้านจำนวนมากเหล่านี้ได้ถูกอพยพมาที่อยู่ใหม่ก่อนหน้านี้ หรือที่ผ่านมาได้รับผลกระทบด้านการทำมาหากินเนื่องจากการก่อสร้างเขื่อน มาในคราวนี้ยังต้องได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต้องสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน และสมาชิกในครอบครัวไป"

องค์กรแม่น้ำนานาชาติ ชี้ว่าการแตกของเขื่อนเผยให้เห็นบทเรียนที่ชัดเจนหลายประการ ได้แก่ "มีความเสี่ยงที่สำคัญจากการออกแบบเขื่อน ซึ่งไม่สามารถรับมือกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและอุบัติภัยได้ อย่างกรณีที่เกิดฝนตกหนักมากๆ ปัจจุบันความผันผวนด้านสภาพอากาศที่ยากต่อการพยากรณ์และรุนแรง เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในลาวและในภูมิภาคนี้ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ"

"ทั้งยังแสดงให้เห็นข้อบกพร่องของระบบเตือนภัยสำหรับการสร้างและการเดินเครื่องเขื่อน เนื่องจากมีการเตือนภัยที่ดูเหมือนจะล่าช้ามากและไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้ามากเพียงพอเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเองและครอบครัว"

"ทั้งสองประเด็นต่างทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานของเขื่อนและความปลอดภัยของเขื่อนในประเทศลาว รวมทั้งความเหมาะสมของโครงการเหล่านี้ในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ทั้งยังมีคำถามเกี่ยวกับบทบาทและความรับผิดชอบ การตรวจสอบได้และความสามารถในการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในโครงการที่เป็นของและดำเนินการโดยเอกชนร่วมกับหน่วยงานของรัฐบาล เนื่องจากในปัจจุบันมีการก่อสร้างหรือมีแผนที่จะก่อสร้างโครงการพลังงานไฟฟ้ากว่า 70 แห่งตลอดทั่วสปป.ลาว โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการของและดำเนินการโดยบริษัทเอกชน (ในรูปแบบสัญญา BOT) เหตุการณ์ครั้งนี้จึงทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนและการบริหารจัดการเขื่อน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบโดยทันที" องค์กรแม่น้ำนานาชาติระบุ

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: