โยน กพช. ชี้ชะตาต่ออายุรับซื้อไฟฟ้า SPP Cogeneration

กองบรรณาธิการ TCIJ 16 ส.ค. 2561 | อ่านแล้ว 2347 ครั้ง

โยน กพช. ชี้ชะตาต่ออายุรับซื้อไฟฟ้า SPP Cogeneration

กบง. ยังไม่ได้ข้อสรุปต่ออายุโรงไฟฟ้า SPP Cogeneration 25 ราย ที่มีกำหนดสิ้นสุดสัญญาขายไฟระหว่างปี 2560-2568 ระบุมีรายละเอียดต้องหารือเพิ่มเติม จึงต้องเสนอให้ กพช. พิจารณาแนวทางที่ชัดเจนอีกครั้ง ที่มาภาพประกอบ: มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย

Energy News Center รายงานเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 ว่านายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 ที่มีนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานว่าที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญๆ รวมถึงแนวทางการต่ออายุการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ประเภทพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) ที่จะหมดสัญญาในช่วงปี 2560-2568 จำนวน 25 ราย ปริมาณการ ผลิตเกือบ 2,000 เมกะวัตต์ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เคยมีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2559 ให้ดำเนินการต่ออายุสัญญาโรงไฟฟ้า SPP Cogeneration อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กบง. ในวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ เนื่องจากยังมีรายละเอียดที่ต้องหารือและปรับปรุงจากมติ กพช. เดิม จึงเตรียมเสนอให้ที่ประชุม กพช. พิจารณาเพื่อสรุปรายละเอียดที่ชัดเจนต่อไป โดยคาดว่าจะมีการประชุม กพช. ในเร็วๆ นี้ หลังจากที่ต้องเลื่อนการประชุมออกไปจากกำหนดเดิม 3 ส.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานประธาน กพช. ติดภารกิจ

ก่อนหน้านี้ สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่าความล่าช้าในการดำเนินการต่ออายุโรงไฟฟ้า SPP Cogeneration ทั้งๆ ที่ กพช. มีมติไปเมื่อ 2 ปีที่ มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นรายใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นลูกค้าของผู้ผลิตไฟฟ้า SPP ทั้ง 25 รายนี้ โดยต่างกังวลว่าหากโรงไฟฟ้า SPP ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบได้ทันตามกำหนด จะกระทบต่อความเสถียรและเสี่ยงต่อการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ซึ่งการเกิดไฟฟ้าตกดับในกระบวนการผลิตแต่ละครั้งจะสร้างความสูญเสียเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีออโตเมชั่นในระบบผลิต อีกทั้งไม่สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ที่ต้องการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงการดังกล่าว

นอกเหนือจากวาระ SPP Cogeneration ที่ประชุม กบง. รับทราบสถานการณ์ราคา LPG ตลาดโลก (CP) เดือน ส.ค. 2561 อยู่ที่ 587.50 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.00 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากเดือน ก.ค. ที่อยู่ในระดับ 562.50 เหรียญสหรัฐ/ตัน อย่างไรก็ตาม กบง. ได้มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยใช้เงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ราคาขายปลีก LPG ภาคครัวเรือนขนาดถัง 15 กก.อยู่ที่ 363 บาท ตลอดเดือน ก.ค. 2561

ที่ประชุม กบง. ยังรับทราบความก้าวหน้าการส่งเสริมใช้น้ำมันดีเซล B20 เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนจากค่าบริการขนส่งและค่าโดยสารรถสาธารณะ รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด และสร้างเสถียรภาพปาล์มน้ำมันว่า มีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่เข้าร่วมโครงการและได้รับความเห็นชอบให้จำหน่าย B20 ได้จำนวน 5 ราย ได้แก่ ปตท. บางจาก ไออาร์พีซี ซัสโก้ พี.ซี.สยามปิโตรเลียม รวมปริมาณ 5.38 ล้านลิตร/เดือน และล่าสุดปริมาณจำหน่าย B20 ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. - 6 ส.ค. 2561 พบว่า มีปริมาณรวม 1.31 ล้านลิตร โดยใช้เงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 4.14 ล้านบาท

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: