ผลศึกษาเบื้องต้นระบุซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปเสรีปีละ 300 เมกะวัตต์ส่งผลกระทบน้อยมาก

กองบรรณาธิการ TCIJ 15 ส.ค. 2560 | อ่านแล้ว 1775 ครั้ง

ผลศึกษาเบื้องต้นระบุซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปเสรีปีละ 300 เมกะวัตต์ส่งผลกระทบน้อยมาก

สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตรียมเสนอผลการศึกษาแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) แบบเสรี ต่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ปลายเดือน ส.ค.นี้ โดยผลการศึกษาเบื้องต้นระบุการรับซื้อเข้าระบบขั้นต่ำปีละ 300 เมกะวัตต์ รวม 6,000 เมกะวัตต์จนถึงปี2579 จะส่งผลกระทบน้อยมากต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน ที่มาภาพ: Energy News Center

เว็บไซต์ Energy News Center รายงานเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2560 ว่าผลการศึกษาโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) แบบเสรี ซึ่งสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับมอบหมายจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)ให้ดำเนินการนั้น ขณะนี้ได้ดำเนินการเกือบ 100% แล้ว เหลือเพียงส่วนของการรับฟังความเห็นเพิ่มเติมและจัดทำเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ คาดว่าจะนำเสนอ ต่อ พพ. ได้ในช่วงปลายเดือน ส.ค. 2560 นี้

ทั้งนี้โครงการดังกล่าว ทางสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ ได้ศึกษาใน 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1. ในด้านนโยบาย ว่าควรเปิดรับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปส่วนเกินจากความต้องการใช้เข้าระบบสายส่งไฟฟ้าหรือไม่ และหากจำเป็นต้องรับซื้อจะใช้วิธีการใด 2.การส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปเสรีจะกระทบต่อค่าไฟฟ้าประชาชน หรือไม่ อย่างไร และ 3.ผลกระทบทางเทคนิค จะก่อให้เกิดปัญหาทางเทคนิคกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายแค่ไหน และจะแก้ไขด้วยหลักวิศวกรรมอย่างไร

ซึ่งในเบื้องต้น ในด้านนโยบายนั้น ทางสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ ได้ทำศึกษากรณีรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินเข้าระบบ แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1.กรณีรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำ คือทยอยรับซื้อไฟฟ้าประมาณ 300 เมกะวัตต์ต่อไป จนสิ้นสุดปี 2579 (สิ้นสุดแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว หรือ PDP 2015)จะมีปริมาณรับซื้อรวม 6,000 เมกะวัตต์ และ 2.กรณีรับซื้อไฟฟ้าขั้นสูง คือทยอยรับซื้อไฟฟ้าประมาณ 600 เมกะวัตต์ต่อปี จนสิ้นสุดปี 2579 จะมีปริมาณรับซื้อรวม 12,000 เมกะวัตต์

โดยในกรณีทยอยรับซื้อไฟฟ้าปีละ 300 เมกะวัตต์ ผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่าจะส่งผลกระทบต่อการไฟฟ้าน้อยมากโดยไม่ต้องลงทุนระบบเพิ่มเติม และไม่ส่งผลกระทบค่าไฟฟ้าประชาชนโดยรวมมากนัก แต่หากไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเข้าระบบปีละกว่า 1,000 เมกะวัตต์จะมีผลกระทบสูง เมื่อพิจารณาเป็นเปอร์เซ็นต์พบว่า ถ้าโซลาร์รูฟท็อปเข้าระบบถึงระดับ 20-30% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ จึงจะถือเป็นปริมาณที่มากและจะส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตไฟฟ้าหลักและภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนจำนวนมากได้

ทั้งนี้การผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปก็มีข้อดี โดยเฉพาะปัจจุบันสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศลงได้ หากโซลาร์รูฟท็อปเข้าระบบไม่มากเกินไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเริ่มใกล้เคียงกับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันต้นทุนค่าไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปอยู่ที่กว่า 4 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มอยู่ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าก๊าซฯอยู่ที่ 4.60 บาทต่อหน่วยและ โรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ที่ 1.9-2 บาทต่อหน่วย

ดังนั้นหากช่วงที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ภาครัฐสามารถเลือกรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปเข้ามาแทนที่โรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนแพง อย่างโรงไฟฟ้าที่ใช้ดีเซลหรือน้ำมันเตา ก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมของประชาชนลดลงได้

อย่างไรก็ตามผลการศึกษาดังกล่าว เป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้นที่ทางพพ.มอบหมายให้ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ ดำเนินการ เท่านั้น ส่วนจะมีการเปิดรับซื้ออย่างไร จะขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงพลังงานเป็นสำคัญ

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: