ธปท.-กสทช.ออกกฎคุมเข้มธุรกรรมมือถือ

21 ธ.ค. 2559 | อ่านแล้ว 2249 ครั้ง

	ธปท.-กสทช.ออกกฎคุมเข้มธุรกรรมมือถือ

ธปท.และ กสทช.ออกกฎใหม่ใช้บัตรประชาชนตัวจริงเปลี่ยนซิมการ์ดเท่านั้น ป้องกันมิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูล เตรียมสแกนนิ้วมือลงทะเบียนซิมเติมเงิน ที่มาภาพประกอบ: bykst (CC0)

สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2559 ว่านายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้แถลงข่าวร่วมกันภายหลังการหารือเพื่อยกระดับความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

นายฐากร  กล่าวว่า  วันนี้ (20 ธ.ค.)  กสทช.จะมีหนังสือด่วนที่สุดกำชับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ว่าการขอออกซิมการ์ดใหม่  การขอเปลี่ยนแปลงเจ้าของซิมการ์ด  การขอเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ ผู้ใช้บริการจะต้องนำบัตรประชาชนตัวจริงมาใช้ในการติดต่อเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือโอนย้ายเลขหมายเท่านั้น สำหรับกรณีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนก็ต้องใช้บัตรประชาชนตัวจริงของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจด้วย ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานกระบวนการพิสูจน์ตัวตนและเพื่อความปลอดภัยและความมั่นใจในการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินและป้องกันการโอนเลขหมายที่ไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ หากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ฝ่าฝืนจะได้รับโทษตั้งแต่ตักเตือน  ปรับ พักใบอนุญาต และเพิกถอนใบอนุญาต  ตามประกาศ กสทช. และต้องรับความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการโอนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงเลขหมายที่ไม่ถูกต้อง  นอกจากนี้  2 หน่วยงานตกลงร่วมกันว่าผู้ใช้บริการทางการเงินผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่และพร้อมเพย์จะได้รับการดูแลการใช้บริการทางการเงินอย่างรัดกุม  โดยจะแจ้งให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลเฉพาะเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น  โดยไม่ปรากฎชื่อของผู้ใช้บริการในระบบ ซึ่งต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้บริการเท่านั้น  หากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าโดยที่ไม่ได้รับการยินยอมจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  และถือเป็นความผิดส่วนบุคคลเท่านั้น

เลขาธิการ กสทช. ยังระบุว่าเพื่อการจัดระเบียบซิมการ์ดระบบเติมเงิน  หลังจากที่ผ่านมามีปัญหาการยืนยันพิสูจน์ตัวตน จึงจัดให้มีการลงทะเบียนใหม่สำหรับผู้ที่เปิดใช้บริการซิมการ์ดใหม่ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง และสแกนลายนิ้วมือ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด โดยคาดว่าจะเริ่มเดือนมีนาคม 2560 เช่นเดียวกับผู้ใช้บริการซิมการ์ดเติมเงินในปัจจุบันสามารถเข้ามาลงทะเบียนใหม่และสามารถตรวจสอบบัญชีหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองผ่านช่องทางที่ กสทช.กำลังดำเนินการ เช่น เว็บไซต์ หากตรวจพบว่าไม่ใช้เบอร์โทรศัพท์ของตนเองสามารถแจ้งยกเลิกได้ทันที

ด้านนายวิรไท กล่าวว่า ขณะที่ ธปท.ได้ให้ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินยกมาตรฐานแบบฟอร์มการกรอกข้อมูลของสถาบันการเงินใหม่ให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อเป็นการอุดช่องโหว่การเซ็นยินยอมของผู้ใช้บริการในการเปิดเผยข้อมูลบุคคล  เช่น ชื่อ นามสกุล และเบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ หลังจากมีข้อร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการเสนอขายบริการทางการเงิน  ประกันชีวิตทางโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนมาก

ส่วนกรณี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นั้น นายวิรไท กล่าวว่า ไม่มีผลกับการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นธุรกรรมทางการเงิน เป็นการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล  มองว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะช่วยให้เกิดความรัดกุมป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย  การเข้าถึงข้อมูลรายธุรกรรมมีกระบวนการหลายขั้นตอน สถาบันการเงินก็มีระบบป้องกันหลายขั้นตอนและยังมีการตรวจสอบจาก ธปท.ในฐานะผู้กำกับดูแล อย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเอง เปลี่ยน Username และ Password ตั้งค่าจำกัดการโอนเงิน  ซึ่งถือเป็นการดูแลตนเองดีที่สุด

นอกจากนี้ ธปท.และ กสทช.ตกลงร่วมกันเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอคืนเงินค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินหรือกรณียกเลิกการใช้บริการสามารถขอรับคืนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ และe-wallet ภายใน 30 วัน จากเดิมคืนเงินผ่านการโอนเงินธนาคารคืนเป็นเช็คโอนไปยังหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่อื่น ทั้งนี้ มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด 90 ล้านเลขหมาย ใช้บริการโมบาย แบงก์กิ้ง 19 ล้านบัญชี มียอดธุรกรรมโมบาย แบงก์กิ้ง ไตรมาส 3 ปีนี้เพิ่มขึ้น  1 เท่าตัว  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีความสะดวกและต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปิดสาขาไปจำนวนมาก โดยมั่นใจว่าสถาบันการเงินจะสามารถปรับตัวด้วยการฝึกอบรมพนักงานที่ประจำเคาน์เตอร์ฝากถอนไปทำงานด้านอื่นได้

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: