ผากั้น รัฐคะฉิ่น- “พวกเขากินภูเขาหมดไปหลายลูกเหมือนกับเขมือบขนมเค้ก เนินเขาสูง 3 พัน 4 พันฟุตเหลือแค่พื้นที่ราบ หรือแม้แต่กลายเป็นหลุมลึก 300 ฟุต ที่ที่เคยเป็นภูเขา ตอนนี้กลายเป็นทะเลสาบไปแล้ว” อูโช ชาวบ้านในเมืองผากั้นที่เลื่องชื่อเรื่องเหมืองหยกของรัฐคะฉิ่น กล่าว
อูโชเป็นพ่อค้าหยกเช่นเดียวกับหลาย ๆ คนที่นี่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยากที่จะทำใจยอมรับความเสียหายที่เกิดจากการทำเหมืองหยกในพื้นที่นี้ได้
“พวกเขาใช้ระเบิดไดนาไมท์ระเบิดภูเขาทั้งลูก ภูเขาถล่มลงมาเเหมือนกับตึกเวิร์ดเทรดในเหตุการณ์ 9/11 เทคโนโลยีที่ทันสมัยสามาถทำให้ภูเขาลูกหนึ่งกลายเป็นพื้นราบได้ภายในเวลาเดือนเดียว” เขาบอก
เมืองผากั้นอยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ เมืองใหญ่อันดับสองของพม่าไปทางทิศเหนือประมาณ 350 กิโลเมตร และเป็นแหล่งแร่หยกคุณภาพดีที่สุดของโลก พื้นที่ดังกล่าวล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มีทั้งหยกและทองคำ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ใต้ดิน ซึ่งคนที่นี่บอกว่า พวกเขาเคยหาหยกได้แม้กระทั่งตอนที่สร้างบ้านหรือขุดบ่อน้ำ
ทว่า การสกัดแร่ได้ทำให้ทัศนียภาพที่นี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลงเหลือแต่ซากความเสียหาย อย่างรอบๆ หมู่บ้านโลงคิน มะมอท และซายตอง ภูเขาหลายลูกถูกแทนที่ด้วยกากแร่ที่ถูกกองสุมไว้ ขณะที่น้ำเสียจากแอ่งน้ำที่ถูกขุดขึ้นซึ่งมีแต่โคลนสร้างมลพิษให้แก่ลำน้ำอูรุที่ไหลผ่านใจกลางเมืองผากั้น
“ในสมัยก่อน คุณจะสามารถมองเห็นก้อนหินที่ก้นแม่น้ำอูรุ มันสะอาดมาก ตอนนี้ น้ำทั้งขุ่นและปนเปื้อนสารพิษเพราะการทำเหมืองหยก มันกำลังจะตาย” อูหม่องตาน ชาวบ้านผากั้นอีกคนหนึ่งกล่าว
มังมยิต พ่อค้าหยกอีกรายก็เข้ามาร่วมลงสนทนาด้วย “ตอนที่เราเป็นเด็ก ปู่ย่าตายายของเราบอกว่า เนินเขาและภูเขาที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่” เขาบอก “พวกเขาได้ยินเสียงเสือตอนกลางคืน อากาศก็หนาวมาก ต้องนอนห่มผ้าแม้กระทั่งในหน้าร้อน”
ผลตอบแทนจากสันติภาพ
แม้ว่าวันคืนเหล่านั้นจะผ่านไปนานแล้ว สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ร้อนแรงขึ้นจนกระทั่งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เมื่อองค์กรเอกราชคะฉิ่น หรือ KIO (Kachin Independence Organization) กลุ่มติดอาวุธชาวคะฉิ่นได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าในตอนนั้น ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวถูกใช้เพื่อหาประโยชน์เป็นวงกว้าง
จากนั้นเป็นต้นมา มีบริษัทอย่างน้อย 500 รายได้จดทะเบียนเพื่อทำเหมืองในผากั้น และนอกจากกำลังคนนับแสนแลัว ผู้ประกอบการรายใหม่ได้นำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้ามาด้วยเพื่อทำให้การถล่มภูเขาง่ายขึ้น
หนึ่งในบริษัทรายใหญ่ที่เข้ามาทำเหมืองแร่ในพื้นที่ ได้แก่ Union of Myanmar Economic Holdings Ltd (UMEHL) ของรัฐบาลทหารพม่าที่ครอบงำเศรษฐกิจหลายภาคส่วนของประเทศ เชื่อว่านายพลบางคนและครอบครัวมีส่วนเกี่ยวข้องโดยส่วนตัว อย่างเช่น ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า ดอว์จ่ายจ่าย ภรรยาของอดีตผู้นำกองทัพนายพลตานฉ่วยมีบริษัทหนึ่งแห่งที่นี่ ขณะที่ส่วนใหญ่จะพบเห็นนักธุรกิจชาวจีนที่ทำงานในบริษัทตัวแทนหรือหุ้นส่วนกับธุรกิจของรัฐจำนวนมากเป็นผู้ควบคุมธุรกิจค้าหยกที่นี่
จึงไม่แปลกใจเลยที่จีนเป็นผู้นำเข้าแร่เจไดต์หรือหยกเนื้อแข็งจากพม่านับตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา ปัจจุบัน 90 เปอร์เซ็นต์ของแร่เจไดต์ในโลกมาจากเหมืองหยกในเขตผากั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะขายให้กับจีน ฮ่องกง และไต้หวัน เนื่องจากหยกเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภและความดีงาม จึงมีความต้องการหยกจำนวนมากเพื่อผลิตของที่ระลึกสำหรับการจัดงานกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง
แม้ว่ามูลค่าจะมีจำนวนมหาศาล แต่มีจำนวนน้อยนิดที่ซื้อหยกจากพม่าได้รับการบันทึกไว้ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พม่าสามารถสกัดหยกได้มากกว่า 43 ล้านกิโลกรัม ในช่วงปีงบประมาณ 2011/2012 แต่สร้างรายได้แค่ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการส่งออกอย่างถูกกฎหมายนั้น ห่างไกลจากมูลค่าที่ควรจะเป็นคือ 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทางสำนักข่าวรอยเตอร์ได้อ้างข้อมูลจาก Harvard Ash Center
เติมเชื้อไฟ
ภายใต้ข้อตกลงที่ระบุในสัญญาหยุดยิง ทั้งรัฐบาลพม่าและ KIO จะแบ่งการควบคุมในเขตผากั้นเท่าๆ กัน นับเป็นการปูทางไปสู่การผลาญทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนแต่ประการใด
ในขณะเดียวกันหลายฝ่ายที่พยายามเจรจาเพื่อสันติภาพโต้แย้งว่า การเพื่อการลงทุนในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยจะช่วยคลายความตึงเครียดลง ทว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1988 มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง หรือ FDI กว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของพม่าไหลเข้าสู่ 3 รัฐซึ่งเป็นพื้นที่ที่ยังคงมีความขัดแย้งต่อเนื่อง จากรายงานของสถาบัน Transnational Institute ประเทศเนเธอแลนด์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 ระบุว่า รัฐคะฉิ่นเป็นรัฐที่มีการลงทุน FDI มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ 8.3 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่า FDI ของทั้งประเทศมามากกว่า 25 ปี ตามมาด้วยรัฐอาระกันมีมูลค่า FDI 7.5 พันล้านดอลลาร์ และรัฐฉาน 6.6 พันล้านดอลลาร์
ในกรณีของรัฐคะฉิ่น ผลกระทบของการลงทุนไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อสันติภาพที่ยั่งยืนด้วย
“มีหลายเหตุผลที่จะสู้รบกัน และเราพูดได้ว่า เรื่องธุรกิจก็เป็นหนึ่งในนั้น” นายพลกันมอว์ รองประธานคณะเสนาธิการทหารของกองกำลังเอกราชคะฉิ่น หรือ KIA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอิสรภาพคะฉิ่น หรือ KIO กล่าวถึงสิ่งที่นำไปสู่การฉีกสัญญาหยุดยิงในรัฐคะฉิ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2011
เมื่อการสู้รบกลับมาอีกครั้งในรัฐคะฉิ่น KIO ได้สูญเสียอิทธิพลในผากั้นไปมาก เหมืองแร่ขนาดใหญ่ถูกระงับเนื่องจากยังมีการสู้รบกันอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวว่า ในเมืองผากั้นยังคงมีสายลับทั้งจาก KIO และรัฐบาลพม่า เรียกว่าเป็น “พื้นที่สีน้ำตาล” ที่การปะทะกันระหว่างสองฝ่ายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ความเสียหายจากการลงทุน
ในขณะที่รัฐบาลพม่ากับ KIO กำลังแบ่งผลประโยชน์มหาศาลที่ได้จากการเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมอยู่นั้น ชาวบ้านกลับต้องสูญเสียมากกว่าสิ่งที่ได้มา เช่นเดียวกับอีกหลายพื้นที่ในประเทศนี้ คนจำนวนมากถูกบังคับให้ออกจากที่ทำกินของตัวเองเพื่อปูทางให้กับบรรดาบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ได้ค่าชดเชยเพียงน้อยนิด หรือไม่ได้เลย
“ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่หลายคนรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะบริษัทที่เข้ามาต่างก็มีใบอนุญาตจากรัฐบาลทั้งนั้น” ซุดดู ยุบ โซ คอง หัวหน้าจากบริษัท Jade Land หนึ่งในบริษัททำเหมืองแร่รายใหญ่ในผากั้น กล่าว
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทเหล่านี้ต้องจ่ายภาษี 3 แบบ (10 เปอร์เซ็นต์จากการชนะประมูลในการสัมปทาน 10 เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าหยกที่หาได้ และ 10 เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการขายหยกให้กับรัฐ) แต่รายได้เหล่านี้แทบจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้กับคนในพื้นที่
ผากั้นตั้งอยู่ห่างจากมิตจีนาเมืองหลวงของรัฐคะฉิ่นราว 77 กิโลเมตร และในช่วงหน้าฝนสามารถเดินทางเข้าไปโดยรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ที่นี่จึงดูเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกล มากกว่าจะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แม้แต่โทรศัทพ์เองก็ยังใช้ไม่ค่อยได้ที่นี่
“ผากั้นเป็นที่ที่ผู้คนเดินทางมาหาเงิน แล้วก็เอาออกไปที่อื่น แม้แต่เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นเองยังไม่สนใจจะพัฒนาพื้นที่เลย” เบอร์ทิล ลินเนอร์ อดีตนักข่าวกล่าว เขาเป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับประเทศพม่า ซึ่งรวมไปถึงหนังสือเรื่อง “Land of Jade: A Journey from India through Northern Burma to China.” (ดินแดนแห่งหยก: การเดินทางจากอินเดียผ่านตอนเหนือของพม่าสู่ประเทศจีน)
ฌอน เทอร์แนล นักเศรษฐศาสตร์ และนักสังเกตการณ์เศรษฐกิจของพม่ามาเป็นเวลานาน กล่าวว่า หยกเคยเป็นแหล่งรายได้หลักจากต่างประเทศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และในปัจจุบันยังคงเป็นอันดับสองรองจากก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซฉ่วย ที่มีการก่อสร้างท่อส่งก๊าซข้ามชายแดนไปยังมณฑลยูนนาน ประเทศจีน เขากล่าวว่า ธรรมชาติของหยกทำให้อุตสาหกรรมการทำเหมืองหยกมีความโปร่งใสน้อยกว่าอุตสากรรมด้านพลังงานของพม่า
“หยกเป็นทรัพย์สินที่สามารถเก็บเพื่อรักษามูลค่าไว้ได้ และสามารถขนย้ายข้ามชายแดนได้ โดยตลอดทางสามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้อย่างง่ายดาย ตามหลักแล้ว มันคือตลาดการเงินใต้ดินที่ยังคงมีอยู่อย่างกว้างขวาง เพราะ (พม่า) ยังไม่มีตลาดการเงินที่เป็นทางการและมีประสิทธิภาพ” เขากล่าว
อาชญากรรม – ยาเสพติดระบาดในพื้นที่
เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ที่การฉีกข้อตกลงหยุดยิงและการระงับการดำเนินการเหมืองแร่ กลับทำให้คนหาแร่ในท้องถิ่นและเหมืองแร่ขนาดเล็กมีโอกาสทำกำไรได้ในช่วงนี้ พวกเขาใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมและใช้เครื่องเมือหนักในการชะล้างหน้าดินเพื่อหาแร่สีเขียว
แต่การทำเหมืองแร่แบบนี้ นอกจากจะทำได้ยากและอันตรายแล้ว ยังผิดกฎหมายอีกด้วย ซึ่งปกติแล้วจะถูกจับกุม แต่ในเมืองที่ไร้กฎหมายอย่างที่นี่ ไม่มีใครมาห้ามได้
“ถ้าทหารของรัฐบาลมา เราก็หนี” ข่าย หม่อง โด คนขุดแร่ชาวอาระกัน เผย “พวกเขามักจะเข้ามาวันละสองครั้ง เราก็แค่หยุดทำและหนีไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะถูกจับและโดนปรับ”
คนที่โชคร้ายถูกจับก็จะต้องเสียค่าปรับราว 5 หมื่น ถึง 1 แสนจั๊ต (50 – 100 ดอลลาร์) ให้กับเจ้าหน้าที่ที่จับกุมโดยตรง จากนั้นก็กลับไปขุดต่อ
ในประเทศที่การคอรัปชั่นดูเหมือนเป็นเรื่องปกติเช่นนี้ แต่สำหรับผากั้นมีตัวเลขที่สูงกว่าที่ไหนๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาชญากรรมต่างๆ ตั้งแต่การลักขโมย การขายบริการทางเพศ การพนันไปจนถึงการค้ายาเสพติด และการฆาตกรรม ระบาดอย่างรุนแรง แต่แม้จะมีการแจ้งเจ้าหน้าที่ ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่สนใจจะดำเนินการ
โรงนวดและบ่อนการพนันเกิดขึ้นเรียงรายอยู่ตามถนนสายหลักในหมู่บ้านมะมอต ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของผากั้น ในขณะที่หมู่บ้านซายตองตั้งอยู่อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำอูรุ ซึ่งเป็นที่ที่ผู้ติดเฮโรอีนสามารถฉีดยาเข้าเส้นกันอย่างเปิดเผย
“ผากั้นเหมือนฮ่องกงสอง” อูวินทุนทุน พ่อค้าหยกในพื้นที่ กล่าว “ที่นี่ คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ ผู้หญิง ยาบ้า เฮโรอีน คนที่นี่กว่าครึ่งติดยา”
อูฉ่วยเต่ง ประธานสาขาพรรคสันนิบาตประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า หรือ เอ็นแอลดี ที่นี่กล่าวว่า เขาได้ยื่นข้อเสนอให้มีการแก้ปัญหาเรื่องยาเสพติดที่ผากั้น แต่พวกเขาก็ทำเป็นหูทวนลม
“ผมเสนอโครงการปราบปรามยาเสพติดไป แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า พวกเขาทำได้แค่ลดการใช้ยาเสพติดลงเท่านั้น” เขากล่าว “แม้ว่าเฮโรอันและยาเสพติดชนิดอื่นๆ มีการซื้อขายกันโดยบุคคลธรรมดา แต่ผมรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะพวกเขาเป็นผู้ดูแลเมืองนี้”
เขากล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกไม่มีอำนาจ “พวกเขาเหมือนเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ พวกเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครเมื่อมีปัญหา”
สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือ คนทั่วประเทศกำลังเพิกเฉยไม่ได้ตระหนักในสิ่งที่เกิดขึ้นในผากั้น
“มันแย่ยิ่งกว่าที่แล็ดปะด่อง” เขากล่าวถึงพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องการก่อสร้างเหมืองแร่ทองแดงโดยบริษัทจีนในภาคสะกาย ที่ผู้คนทั่วประเทศต่างให้ความสนใจ “เราสูญเสียภูเขาไปลูกแล้วลูกเล่า แต่เหมือนไม่มีใครสนใจเลย”
เผยแพร่ครั้งแรกใน salweennews.org เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ