แนะรื้อกม.การเงิน-คลัง ตั้งองค์กรอิสระตรวจงบฯ

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย 19 มี.ค. 2557 | อ่านแล้ว 1835 ครั้ง

ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในการเสวนา“ทีดีอาร์ไอชวนคิด-ชวนคุยข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย” ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “การสร้างวินัยทางการเงินและการคลัง” ซึ่งจัดขึ้นโดยทีดีอาร์ไอ โดยระบุแนวทางของการปฏิรูปประเทศนั้นต้องมีการปฏิรูปด้านการเงินการคลังด้วย โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องอยู่บนบรรทัดฐานของความโปร่งใส สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ และควรมีบัญชีการใช้จ่ายงบประมาณที่มีมาตรฐาน โดยประชาชนสามารถตรวจสอบ เข้าถึงและรับทราบข้อมูลของรัฐ

“การทำนโยบายให้ประชาชนสนับสนุน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก แต่การทำให้ประชาชนรู้ว่านโยบายเหล่านั้นได้ประโยชน์เท่าไร ขาดทุนเท่าไร ถือเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ซึ่งนโยบายหรือโครงการประชานิยมต่าง ๆ ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการอยู่ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรวบอำนาจของฝ่ายบริหาร ให้เข้ามาเป็นของตัวเองมากขึ้น” ดร.อัมมารกล่าว

ดร.สมชัย จิตสุชน (ซ้าย) ดร.อัมมาร สยามวาลา (ขวา)

ขณะเดียวกันยังเห็นว่า ขั้นตอนการพิจารณางบประมาณที่ใช้ในโครงการต่าง ๆ ในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ มีความแนบแน่นกันจนเกินไป จนไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งโครงการที่ถือว่าล้มเหลวที่สุด คือโครงการรับจำนำข้าว ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการงบประมาณหรือความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือมีองค์กรตรวจสอบที่เข้มแข็ง ดังนั้นหากต้องการให้รัฐสภาเข้ามามีบทบาทในการถ่วงดุลอำนาจ ต้องมีการปฏิรูปแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ในแง่ของวงเงินงบประมาณ ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำให้โปร่งใส ต้องระบุไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และถ้าเรื่องใดอยู่ในงบประมาณก็ต้องมีการตรวจสอบบัญชีที่ชัดเจนได้ด้วย

ด้าน ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการทีดีอาร์ไอ กล่าวเสริมถึงปัญหานโยบายประชานิยมว่า มีการใช้เงินนอกงบประมาณ “แบบปลายเปิด” กล่าวคือไม่มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายงบประมาณนั่นเอง รวมทั้งไม่ได้ผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภา ขณะที่รัฐบาลไม่มีส่วนในการรับผิดชอบต่อระบบรัฐสภาเลย ทำให้เกิดปัญหาการคลังและขาดระบบการตรวจสอบประเมินผล ซึ่งไทยควรมีการรื้อกฎหมายการเงินการคลังใหม่ โดยจัดตั้งองค์กรอิสระตรวจสอบความคุ้มค่าการใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินโครงการของรัฐบาลก่อนที่จะมีการเสนอของบประมาณ

ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร

นอกจากนี้ดร.นิพนธ์ ได้เสนอแนะว่า รัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะเสนอโครงการประชานิยมได้ แต่ต้องเสนอให้รัฐสภาพิจารณาด้วย จะทำให้รัฐบาลหรือผู้จัดทำมองเห็นภาพรวมว่า งบประมาณมีจำกัด เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ทำให้ดูเหมือนว่าสามารถกู้เงินได้โดยไม่จำกัดจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งอาจจะไปเบียดบังงบประมาณในส่วนอื่น ที่นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ส่งผลกระทบต่อการการเติบโตทางเศรษฐกิจจนเกิดความเสี่ยง และนำไปสู่ความเสียหาย ต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลัง ซึ่งเห็นได้จากขณะนี้อัตราการก่อหนี้สาธารณะเกินขีดถึงขั้นอันตราย และยังกระทบต่อการกระจายรายได้ ดังนั้นแต่ละโครงการต้องมีการรายงานข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ เพราะเงินที่ใช้ล้วนเป็นเงินภาษีของประชาชน รวมถึงต้องประเมินผลของนโยบายที่ดำเนินการด้วยว่า มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ส่วนพรรคการเมืองที่อยู่ระหว่างหาเสียงก็ควรเลือกโครงการที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนมากที่สุด

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง ทีดีอาร์ไอ เสนอแนะให้มีการปฏิรูปการคลังอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการออกพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ จัดตั้งสำนักงบประมาณประจำรัฐสภา(Thai Parliamentary Budget Office หรือ Thai PBO) โดยเร็ว เพื่อใช้เป็นหน่วยงานทำหน้าที่วิเคราะห์ด้านการคลังและเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร โดยการแต่งตั้งผู้บริหารที่มาดูแลหน่วยงานนี้ต้องไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวมีหน้าที่ในการวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค ฐานะการคลังของภาครัฐ ต้นทุนการคลัง หรือมาตรการที่สำคัญรวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจของมาตรการนั้น ๆ รวมทั้งมีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลการคลังทุกประเภท

นอกจากนี้วงเสวนายังเห็นตรงกันว่า เงินงบประมาณเหมือนขนมชั้นที่มีหลายด้าน มีนโยบายที่เป็นผลประโยชน์และค่าตอบแทน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหายไปจากสังคมไทยได้ หากมีการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง และเร่งรัดให้รัฐมีกฎหมายการเงินการคลัง และการเปิดเผยข้อมูล เพื่อสามารถตรวจสอบ รวมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมจะสามารถลดความเหลื่อมล้ำและตอบโจทย์ในเรื่องปัญหาโครงสร้างการคลังไทยได้

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: