บทวิเคราะห์ของ Prof.Robert Klitgaard ต่อปัญหาการทุจริตของประเทศไทยและหนทางการแก้ไข

ดร.ศยามล ศักดิ์เสมอพรหม ป.ป.ช. 19 ก.พ. 2557


ประวัติโดยสังเขปของProfessor Robert Klitgaard

Prof. Robert Klitgaard เป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัย Claremont Graduate University (CGU) เมือง Claremont ประเทศสหรัฐอเมริกา เคยดำรงตำแหน่งอธิการบดี (President) ของ CGU ระหว่างปี2005-2009 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โทและเอก จาก Kennedy School of Government มหาวิทยาลัย Harvard เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์วิจัยเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น (Corruption Studies) และมีบทความตีพิมพ์มากมายในวารสารวิชาการด้านรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ หนึ่งในแนวคิดที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับและได้รับการอ้างอิงบ่อยครั้งในหมู่อาจารย์ นักวิจัยทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ คือ Corruption Model โดยมีสมการดังนี้

Corruption = Monopoly +Discretion– Accountability

Monopoly คือ การผูกขาดในการผลิต การให้บริการ หรือการกำหนดราคา

Discretion คือ ครองอำนาจในการตัดสินใจ

Accountability คือ มีผู้รับผิดชอบและสามารถตรวจสอบได้

จะเห็นได้ว่าจากสมการนี้ Accountability มีความสำคัญมากในการป้องกันการทุจริต เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วยบรรเทาผลของการผูกขาด (Monopoly) และอำนาจในการตัดสินใจ (Discretion) ไม่ให้มีมากจนทำให้เกิดการทุจริต

เกริ่นนำ

บทวิเคราะห์ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นการแปลและเรียบเรียงของข้าพเจ้า จากการรวบรวมเนื้อหาทั้งส่วนของการบรรยายของ Prof. Klitgaard ที่นำเสนอให้ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนาระดับชาติ ประจำปี 2556 ที่จัดโดยความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต และ TDRI  ระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม 2556 และจากที่ได้รับเพิ่มเติม จาก Prof. Klittgaard โดยตรง เนื่องจากความที่รู้จักกับท่านขณะที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ที่ Claremont Graduate University โดยท่านคงเชื่อว่าสามารถนำข้อมูลที่เพิ่มเติมนี้มาเผยแพร่  และจะยิ่งก่อให้เกิดผลดีเป็นหลายเท่าทวีคูณ ถ้าหากข้อแนะนำของท่านจากบทวิเคราะห์นี้จะถูกรัฐบาลหรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหยิบยกไปพิจารณา และถูกนำไปปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่มันรุนแรงในระดับชาติอยู่ในขณะนี้ (ต้องขอขอบคุณ หน่วยงาน IOD และTDRI ที่ได้จัดงานสัมมนาครั้งนี้และขอบพระคุณ กรรมการ ป.ป.ช. (ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ) ที่ได้มอบหมายข้าพเจ้าไปเข้าร่วมการสัมมนาและนำสาระสำคัญจากการสัมมนากลับมานำเสนอ)

เนื้อหาสาระ

ในมุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์ของ Professor Klitgaard ซึ่งอาจหมายรวมแบบ Comparative Advantage ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบหลายอย่างเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ที่ทำให้นักลงทุนอยากจะเดินทางมาลงทุน รวมทั้งการเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย อาทิ จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งอยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน และยังอยู่ใกล้กับประเทศที่มีอิทธิพลของโลกคือ จีนและอินเดีย และยังมีบริเวณที่ติดกับทะเลออกสู่อ่าวไทย ความมีอัธยาศัยอันดีของคนไทย ความขยันขันแข็งของคนไทย โดยดูจากคนไทยที่มาศึกษาและทำงานในต่างประเทศ และยังมีมาตรการทางกฎหมาย ในการส่งเสริมและคุ้มครองนักลงทุน ที่ดีพอสมควร ข้อดีดังกล่าวสามารถยืนยันได้จากข้อมูลจากผลการสำรวจระดับนานาชาติที่เป็นเชิงบวกของประเทศไทย เช่น จาก Global Competitiveness Report ประจำปี 2013-2014 ผลการตอบแบบสอบถาม ของนักธุรกิจและสถาบันทางการเงิน กว่า 13,000 คน ใน 148 ประเทศ พบว่าภาพรวมในด้านศักยภาพทางการแข่งขันในระดับสากลของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ซึ่งดีกว่า Indonesia (ลำดับที่ 38) ด้อยกว่า Malaysia (ลำดับที่ 24) และ Singapore (ลำดับที่ 2) แต่ถ้าเจาะลึกในดัชนีบางตัว พบว่าประเทศไทยทำได้ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ เช่น ในเรื่อง Strength of Investor Protection (การคุ้มครองนักลงทุน) ประเทศไทยได้อันดับ 13 (ดีกว่า Japan, Norway, and France) และในเรื่อง Customer Orientation (ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนและลูกค้าทั่วไป) ประเทศไทยได้อันดับ 15 (ดีกว่า Canada, United Kingdom, and Finland) แต่ดัชนีที่ทำให้คะแนนโดยรวมเราต่ำ อาทิ Favoritism in Decision by Government Officials เราอยู่ในอันดับ 93 ด้อยกว่า Timor-Leste, Malawi, และ Cambodia และ ดัชนี Transparency of government policy spending  เราอยู่ในอันดับ 93 ด้อยกว่า Ecuador, Uganda, และ Mozambique

จากผลการสำรวจความคิดเห็นของ Global Competitiveness Report ต่อคำถามที่ว่า อะไรคืออุปสรรคสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจในประเทศไทย คำตอบที่ได้รับคือ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมีปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารปกครองประเทศ 3 ปัจจัยด้วยกันคือ 1) ความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลที่ขาดประสิทธิภาพ        2) การขาดความต่อเนื่องของนโยบาย และ 3) ความขาดประสิทธิภาพของระบบราชการ ส่วนปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น อัตราภาษีและมาตรการต่างๆ ผู้ตอบแบบสอบถามไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของพวกเขา ในประเทศไทยเท่าใดนัก 

Prof. Klittgaard เชื่อว่า ทุจริตของประเทศไทยในปัจจุบันและอาจรวมถึงในอีกหลายๆประเทศ ไม่ใช่ทุจริตที่เกิดจากปัญหาทางวัฒนธรรม หรือธรรมเนียมประเพณี แต่เป็นปัญหาเชิงระบบที่จำเป็นต้องอาศัยแนวทางใหม่ (New Approach) มาใช้แก้ไขต่อต้านการทุจริต รัฐบาลจำเป็นต้องเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาทุจริต ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลเอาจริงกับเรื่องนี้ ผู้ที่ทำการทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะที่มีมูลค่าความเสียหายสูงและเป็นตัวการ ต้องได้รับการลงโทษ (“Big fish must be fried”) สร้างให้เห็นว่า cost ในการทำทุจริตนั้นสูงกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ (Benefit) ประกอบกับปลุกกระแสในการเข้ามามีส่วนร่วมในการเข้ามาเป็นภาคีในการต่อต้านการทุจริต จากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม โดยควรมีการมอบหมาย หรือระบุกลุ่ม หรือตัวบุคคลที่รับผิดชอบ

โดยแนวทางใหม่นี้ อาจต้องประกอบด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

ขั้นตอนที่ 1: ต้องวินิจฉัย (Diagnosis)

ขั้นตอนที่ 2: ยุทธศาสตร์ (Strategies)

ขั้นตอนที่ 3: การทำให้เกิดผล (Implementation)

ขั้นตอนที่ 4: การให้ข้อมูลให้ทั่วถึง (Outreach)

ขั้นตอนที่ 1: ต้องวินิจฉัย (Diagnosis)

การทำการวินิจฉัยปัญหาที่ประสบอยู่ คือ การหาข้อมูลทั้งทางเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มาใช้พิเคราะห์ว่าจะเกิดผลดีและผลเสียมากน้อยแค่ไหน ต่อการลงทุน การเพิ่มอัตราการจ้างงานและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ถ้ามีการทุจริตควบคู่ไปกับการบริหารบ้านเมือง รัฐบาลจำเป็นต้องใช้หลักการวิเคราะห์ที่เรียกว่า Action-Oriented analysis ประมวลหาว่ากลวิธีต่างๆที่ หน่วยงานสำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านทุจริตเลือกมาใช้นั้น มีข้อดีและเสียอย่างไร มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนที่จะล้มเหลว นั่นคือ รัฐต้องทำการวิเคราะห์ “ระบบการทุจริต” (Corrupt systems) โดยอาจเริ่ม จากการฟังเสียงของประชาชนผ่านการทำแบบสอบถาม (Survey) ตัวอย่างเช่น ในประเทศเปรู หน่วยงาน NGO ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของภาครัฐ  โดยภาคเอกชนช่วยในเรื่องการออกแบบแบบสำรวจ ผลจากการทำแบบสำรวจได้ช่วยบ่งชี้ สิ่งที่ประชาชนไม่พอใจในหน่วยงานรัฐในแต่ละระดับ ตั้งแต่ท้องถิ่น ภูมิภาค จนถึงระดับชาติ โดยสื่อสามารถเข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวกลาง ในการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ ถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการทำการสำรวจความคิดเห็นแบบนี้ เพื่อทำให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนและทุกภาคส่วน

สำหรับประเทศไทย Prof. Klitgaard ให้ความเห็นว่า มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนอยู่บ่อยครั้ง แต่เท่าที่ทราบยังไม่เคยเห็นมีการจัดอันดับ (Ranking) ระดับความพึงพอใจที่ประชาชนมีต่อหน่วยงานของรัฐในระดับต่างๆ นอกเหนือจากนั้น เรายังสามารถอาศัยการวิเคราะห์ระบบการทุจริต จากวิธีการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับปัญหาการทุจริต  เช่น จากโครงการการจัดซื้อจัดจ้างผ่านทางการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว (One on one interview) กับนักธุรกิจเอกชน สิ่งที่ IOD ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การดำเนินการของ คณะกรรมการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนเพื่อต่อต้านการทุจริต หรือ CAC (Private Sector Collective Action Coalition against Corruption)* ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน โดยอาจจัดเวทีให้กลุ่มบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) จากทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคธุรกิจเอกชน รัฐบาลและ ภาคประชาสังคม ได้มีการระดมความคิดเห็นว่า ต้องทำอย่างไรเพื่อจัดการกับเรื่องทุจริตในประเทศไทย ที่ได้กลายเป็น “ระบบการทุจริต” (Corruption systems) คือ เป็นการทุจริตที่ซับซ้อน มีหลายรูปแบบแพร่ไปอยู่ในแทบทุกส่วนของสังคมไทย ดังนั้น ผู้นำของแต่ละภาคส่วนต้องเข้ามาร่วมแก้ไขอย่างจริงจัง และต้องมีการระบุ Champion หรือ ผู้รับผิดชอบหลัก ของแต่ละภาคส่วน อย่างเป็นทางการ เพื่อประโยชน์ในการติดตามและขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ Klitgaard บอกว่าไม่มีใครอยากเป็นแค่ผู้ประสานงาน โดยไม่มีอำนาจในการขับเคลื่อนหรือตัดสินใจ เมืองไทยมีหลายคณะมากที่เป็นแค่ประสานงานแต่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้งานถูกขับเคลื่อนไปได้ช้า เพราะคนเข้าประชุมทำหน้าที่แค่ Messenger มาบอกผู้มีอำนาจ แทนที่จะมีผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถตอบรับ หรือปฏิเสธได้เลยว่าทำได้หรือไม่ อย่างไร

ขั้นตอนที่ 2: ยุทธศาสตร์ (Strategies)

ภายหลังจากที่เราได้ข้อสรุป รวมทั้งบทวิเคราะห์ จากข้อมูลที่ได้ในขั้นตอนที่ 1 แล้ว เราสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาร่างแผนยุทธศาสตร์การต่อต้านทุจริต ทั้งนี้เราสามารถนำโครงการที่หน่วยงานต่างประเทศนำมาใช้ในการต่อต้านทุจริตและประสบความสำเร็จมาศึกษา เพื่อเรียนรู้อุปสรรคและปัญหาที่ประเทศนั้นประสบ ก่อนที่พวกเขาจะได้รับความสำเร็จ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเทคนิคนี้ คือ แรงบันดาลใจและกำลังใจในการสร้างสรรค์โครงการ หรือยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 

ในประเทศมาเลเซีย การระดมความคิดเห็นจากประชาชน สามารถช่วยให้รัฐบาลเห็นจุดสำคัญของปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขก่อน ซึ่งการระดมความคิดจากทุกภาคส่วนแบบนี้ ต้องมีการกำหนดกลไกที่ทุกฝ่ายยอมรับ และกำหนดช่วงเวลาของแต่ละแผนกิจกรรมและทรัพยากรที่ต้องใช้ในแต่ละช่วง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้นๆ โดยควรมีการทำการระดมความคิดเห็น หรือสำรวจความคิดเห็นทุกปี เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น องค์กรนานาชาติที่มุ่งเน้นด้าน Good Governance, Transparency and Accountability สามารถเข้ามามีบทบาทในเรื่องสนับสนุนค่าใช้จ่ายในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเช่น การทำ Survey, Technical workshops หรือ การทำวิจัยในด้านสำคัญๆ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง ด้านศุลกากร การเก็บภาษีอากร กระบวนการศาลและยุติธรรม เป็นต้น ผลผลิตจากงานด้านวิจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การปฏิรูปอย่างเป็นระบบ ทำให้กระบวนการส่งเสริมความโปร่งใสและตรวจสอบได้ดีขึ้น ดังนั้น สุดท้าย Corruption สามารถถูกทำให้ลดน้อย หรือ แทบหมดไปได้ จาก Klitgaard’s Corruption Model ที่กล่าวถึงตอนแรก ที่ว่า Corruption = Monopoly + Discretion-Accountability จะเห็นได้ว่า Corruption จะมากขึ้น หรือลดลง ขึ้นอยู่กับ Monopoly, Discretion และ Accountability ดังนั้น เมื่อ Accountability หรือ transparency มีค่ามากขึ้น (จากการเข้ามาช่วยตรวจสอบดูแลของภาคเอกชนและประชาสังคม) และ Monopoly และ Discretion ถูกทำให้ลดลงไป  Corruption จะลดลงหรือหมดไปได้

ขั้นตอนที่ 3: การทำให้เกิดผล (Implementation)

ขั้นตอนต่อไป ภายหลังการกำหนดยุทธศาสตร์ Prof. Klitgaard กล่าวว่าคือ การสร้างความเชื่อมั่นและการให้เกิดแรงเหวี่ยงในสังคม (Creating confidence and momentum) ทำให้สังคมตระหนักว่าปัญหาการทุจริตนั้นแก้ไขได้ การเริ่มต้นนั้นไม่ใช่ทำทุกอย่างตามแผนยุทธศาสตร์พร้อมๆกันทันที แต่ต้องเริ่มจากที่ผู้นำต้องให้ความสำคัญกับวิธีการที่ทำได้ในทันที แต่ส่งผลในวงกว้าง เช่น การประชาสัมพันธ์ผลสำเร็จของคดีทุจริตที่ผู้เกี่ยวข้องเป็นคนที่เป็นตัวหลักๆในรัฐบาล เพื่อแสดงให้สังคมเห็นว่า ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว การทำทุจริตได้รับการลงโทษทันทีและรุนแรง โดยไม่มีข้อแม้ว่าคุณเป็นใคร อีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จของการต่อต้านทุจริต คือ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน (Reorganizing the government’s fight against corruption) ในเชิงการลดจำนวนคณะทำงานประสาน หรือ คณะกรรมาธิการ หรืออนุกรรมการที่มีหลากหลายประเภทและระดับนั้น เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำ เพราะจะช่วยให้การทำงานต่อต้านทุจริตนั้นรวดเร็วขึ้น สิ่งที่ควรสร้างมากขึ้นคือ การมี Partnership กับองค์กรภาคเอกชน และประชาสังคมเพื่อทำให้ภาครัฐได้รับข้อมูลและนวัตกรรมใหม่ๆ อันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนั้นคือการใช้ Social network ให้มากขึ้น โดยเพิ่มการใช้  Social media ให้ประชาชนสามารถแจ้งการทุจริตโดย รูปแบบการทำทุจริต เช่น ที่ India มี website ที่ชื่อ Ipaidabribe.com  บริหารโดยองค์กรอิสระ ให้คนได้แจ้งการทุจริต แล้วนำเรื่องดังกล่าวส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ เราต้องปรับรูปแบบการคำนวณของการทำทุจริตให้ได้ cost  ของการทำทุจริตสูงกว่าผลประโยชน์ เพราะเมื่อพฤติกรรมไม่ดีถูกเปิดเผย การจับกุมเกิดขึ้นตามมา สุดท้ายการตัดสินใจในการทำทุจริตจะลดลงไปด้วย การใช้การสร้างสรรค์วิธีใหม่ๆในการแก้ปัญหาการทุจริต ก็เป็นแนวทางเลือกที่น่าสนับสนุน เช่น website ที่เรียกว่า I propose ที่สร้างและบริหารโดยนักศึกษามหาวิทยาลัย ในเมืองหลวง Mexico ได้เปิดโอกาสให้คนเสนอวิธีแก้ปัญหาสังคม  โดยผ่านช่องทางsocial media เช่น  Blog Twitter Facebook เป็นต้น  หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยควรมีการวิจัยว่า การใช้ social network แบบนี้จะช่วยในเรื่องระบบการร้องเรียนและสนับสนุนการทำงานของภาครัฐให้ดีขึ้นมากน้อยขนาดไหน

ขั้นตอนที่ 4: การให้ข้อมูลให้ทั่วถึง (Outreach)

ขั้นตอนหลักการที่กล่าวมาทั้งหมดจำเป็นต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ รวมถึงผู้นำและนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลหรือประเทศไทย  สิ่งที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเริ่มทำทันทีในขณะนี้คือ นำเสนอผลงานความก้าวหน้าที่มีความสำคัญ เช่น คดีที่ประสบความสำเร็จ หรือความก้าวหน้าของการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผ่านทางหนังสือพิมพ์ หรือวารสาร ที่สามารถเผยแพร่ให้ทั่วโลกทราบ องค์กรต่างประเทศสามารถช่วยประชาสัมพันธ์ความก้าวหน้าอย่างนี้ด้วยเช่นกัน และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ผู้นำประเทศไทยจำเป็นต้องใช้เวทีระดับสากลกล่าวถึงยุทธศาสตร์การต่อต้านทุจริตและประกาศความสำเร็จในด้านการต่อต้านทุจริตให้นานาประเทศทราบด้วย

โดยสรุป Prof. Klitgaard เน้นการแก้ไขปัญหาทุจริตของประเทศไทยโดยยึดหลักความร่วมมือแบบจริงจังและยั่งยืน (Collective Action) จากระดับมืออาชีพ(Professionals) โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและประชาสังคม ต้องคิดในแนวบวกว่า ถ้าประเทศไทยขจัดปัญหาการทุจริตได้จะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจมากมาย ไม่ว่าจากทางการลงทุนจากต่างประเทศ และการสร้างงานที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การสร้างความฮึกเหิมอย่างพร้อมเพรียงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการเข้ามาร่วมมือกันอย่างจริงจังมีความสำคัญมากความสำเร็จต้องเกิดขึ้นถ้าคิดว่ามันจะเกิดขึ้น  เทคนิคที่น่าสนใจ ที่ Prof. Klitgaard นำมาใช้ในการสร้างความฮึกเหิมคือ การสร้าง Imaginary news story คือ ใช้การจินตนาการในสิ่งที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น พร้อมแทรกกลวิธีที่กล่าวมาข้างต้นในเนื้อหาของเรื่องที่เขียนขึ้นมา โดยวิธีนี้จะเป็นประโยชน์ ทั้งด้านการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทุกภาคส่วนและแนะแนวทางในการดำเนินการ

เช่น คิดว่าในปี พ.ศ  2561 (2018 ) ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาการทุจริต และได้รับการเลื่อนอันดับของ Global Competitiveness มาอยู่ในอันดับ 20 ของโลก โดยประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จในด้านการจัดสรรงบประมาณภาครัฐ (Diversion of Public Funds) จากเดิมที่มีปัญหา เนื่องจากการทุจริตคอร์รัปชั่น รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ภาคประชาชนสามารถรับรู้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางระบบInternet ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุม ส่วนภาคธุรกิจ ได้มีการจัดประชุมอย่างสม่ำเสมอระหว่างผู้นำของแต่ละกลุ่มภารกิจ เพื่อติดตามการดำเนินงานที่ได้กำหนดขึ้นและประเมินผลการแก้ไขปัญหาทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มการจัดซื้อจัดจ้าง ภายหลังจากการจัดให้มีการประชุมครั้งใหญ่ร่วมกับภาครัฐในปี 2013 ในเรื่องปัญหาทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้จัดให้มีการสัมภาษณ์แบบลับ แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One- on-One) เพื่อให้ช่วยระบุสาเหตุของการทุจริตในการประมูลกับภาครัฐ อย่างจริงจัง ไม่ปกปิด โดยมีการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ที่ให้ข้อมูล ทั้งในเรื่องความปลอดภัยและยืนยันว่า ข้อมูลที่ได้จะนำไปใช้ประกอบในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น 

ท้ายนี้ ข้าพเจ้าชอบกุศโลบายของ Prof. Klitgaard ที่ใช้ในการสร้างกำลังใจ เพราะทุกวันนี้ประชาชนแม้กระทั่งหน่วยงานภาครัฐขาดความเชื่อมั่นว่าการทุจริตจะสามารถถูกทำให้ลดลงได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่นว่า เหตุการณ์ในปี 2561 สามารถเกิดขึ้นจริง ถ้าเราเริ่มปฏิรูป (Reform) ประเทศไทยในเรื่องการแก้ปัญหาการทุจริตอย่างเข้มแข็ง ต่อเนื่อง ไม่มีการโยน หรือ ผลักภาระว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่รัฐบาล ป.ป.ช หรือ ภาคเอกชน ทุกหน่วยงานทุกภาคส่วนต่างเดือดร้อนกับการทุจริต ใยต้องเกี่ยงว่าเป็นหน้าที่ใคร ณ ตอนนี้ถ้าช่วยประเทศได้ก็ต้องช่วยแล้ว

 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: