บทบาทการเป็นแกนนำมวลชน ในการต่อสู้ทางการเมืองของท่านพุทธะอิสระและสมณะโพธิรักษ์ มีประเด็นที่น่าตั้งคำถามคือ หนึ่งมองในแง่วินัยสงฆ์และสิทธิการแสดงออกทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ท่านพุทธะอิสระและสมณะโพธิรักษ์ทำได้หรือไม่? และสองมองในแง่วิถีทางประชาธิปไตยกับหลักสันติวิธีทางพุทธศาสนาท่านทั้งสองเดินถูกหลักหรือไม่?
เมื่อเปิดดูวินัยปิฎกจะพบว่า ไม่มีพุทธบัญญัติวินัยสงฆ์ห้ามพระชุมนุมทางการเมือง ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะสมัยพุทธกาลไม่มีการชุมนุมทางการเมือง แต่ถามว่ามีพระเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ คำตอบคือมี ตามคัมภีร์เล่าว่าพระเทวทัตอาจารย์ของเจ้าชายอชาตศัตรูได้ยุยงให้เจ้าชายทำรัฐประหารยึดอำนาจจากพระราชบิดามาปกครองกรุงราชคฤห์แทน ส่วนตนเองจะหาทางปกครองคณะสงฆ์แทนพระพุทธองค์
การกระทำดังกล่าวได้รับการตำหนิจากพระพุทธองค์ว่า "ไม่ใช่กิจที่พระสงฆ์พึงกระทำ" จากนั้น พระพุทธองค์ได้ให้พระสาวกประกาศแก่ชาวเมืองราชคฤห์ว่า "สิ่งที่พระเทวทัตทำไป (ในเรื่องยุยงพระเจ้าอชาตศัตรูยึดอำนาจรัฐจนสำเร็จ) คณะสงฆ์ไม่รับทราบ ไม่รับรอง ไม่เกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์โดยรวมแต่อย่างใด"
ฉะนั้น ความเห็นของพระพุทธองค์ในกรณีดังกล่าวนี้จึงเป็น "บรรทัดฐาน" ได้ว่า "พระสงฆ์ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองที่เป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจรัฐ" และปรากฏว่าตลอดสมัยพุทธกาลก็ไม่เคยเกิดกรณีแบบพระเทวทัตขึ้นอีกเลย
ถ้ายึดบรรทัดฐานนี้อย่างเคร่งครัด ก็หมายความว่าพระสงฆ์ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับการเมืองในเรื่องการแย่งชิงหรือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แต่สามารถยุ่งได้ในเรื่องการสอนให้ผู้ปกครองมีศีลธรรม และเสนอความคิดทางสังคมการเมืองที่ยืนยันความเท่าเทียม ดังที่พระพุทธองค์สอนทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร และปฏิเสธระบบวรรณะสี่ พร้อมกับตั้ง "สังฆะ" ขึ้นมาเป็นสังคมตัวอย่างที่ไม่มีชนชั้น แต่มีความเท่าเทียม และภราดรภาพ
โดยนัยนี้ เราอาจตีความขยายไปถึงว่าการแสดงออกทางการเมืองตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญรับรอง เช่นการเรียกร้องเสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ไม่เกี่ยวโดยตรงกับการแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ หรือเพื่อให้ตัวเองจะเข้าไปมีอำนาจรัฐ ย่อมเป็นสิ่งที่พระสงฆ์ทำได้
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล คณะสงฆ์กับรัฐเป็นอิสระจากกัน คือ คณะสงฆ์ไม่ถูกรัฐปกครองและใช้อำนาจก้าวก่ายกิจการภายใน แต่ปกครองกันเองด้วยหลักพระธรรมวินัย รัฐอาจเข้ามาเกี่ยวข้องบ้างในบางเรื่อง เช่น ให้ความอุปถัมภ์การสังคายนาพระธรรมวินัย ทว่าตั้งแต่ยุคพระเจ้าอโศกเป็นต้นมา คณะสงฆ์ขอให้รัฐเข้ามาแก้ปัญหาความแตกแยกภายใน ทำให้มีการใช้อำนาจรัฐจับพระสึก กระทั่งประหารชีวิตก็มี ทำให้รัฐมีบทบาททั้งในการอุปถัมภ์พุทธศาสนาและมีอำนาจบางระดับในการแทรกแซงจัดการปัญหาภายในของคณะสงฆ์
จากนั้นมาประเทศที่นับถือพุทธในเอเชียอาคเนย์ซึ่งรับพุทธศาสนามาจากสมณทูตที่พระเจ้าอโศกส่งไปเผยแผ่ ก็รับ "โมเดลอโศก" มาใช้และพัฒนาไปตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป เช่นในบ้านเรา ชนชั้นปกครองสถาปนาสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์ให้เป็น "พระราชาคณะ" มีบทบาทในการปลูกฝังอุดมการณ์การ "ปกครองโดย (ทศพิธราช) ธรรม" สนับสนุนความชอบธรรมของผู้ปกครอง แรกๆ ความสัมพันธ์แบบนี้มีเฉพาะพระสงฆ์ในราชธานีกับผู้ปกครองเท่านั้น พระสงฆ์ตามหัวเมืองต่างๆ ยังปกครองกันเองตามหลักธรรมวินัยอย่างอิสระ
แต่พอถึงยุคปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการตั้งองค์กรปกครองสงฆ์ที่เรียกว่า "มหาเถรสมาคม" คล้ายจะเลียนแบบศาสนจักรของคริสต์เหมือนที่เลียนแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จากตะวันตก ระบบศาสนจักรสมัย ร.5 ยังตกทอดมาถึงปัจจุบัน จึงเรียกกันว่าเป็น "พุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนความชอบธรรมของชนชั้นปกครองและอุดมการณ์ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" มาจนบัดนี้
ฉะนั้น แม้สังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ 2475 แต่พุทธมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังทำงานอยู่อย่างเข้มแข็ง ในการปลูกฝังความคิด ความเชื่อที่สนับสนุนอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยองค์กรปกครองสงฆ์ หรือโดยบทบาทพระสงฆ์ที่เป็นปัจเจกบุคคล เช่น กิตติวุฑโฒ ภิกขุ ว.วชิรเมธี เรื่อยมาถึงพุทธะอิสระและสมณะโพธิรักษ์
ดังที่ท่านพุทธะอิสระอ้างเรื่องความจงรักภักดี ปกป้องสถาบันปลุกใจผู้ชุมนุมทางการเมือง ดังสมณะโพธิรักษ์อ้างว่าการยึดสถานที่ราชการต่างๆ นั้นเป็น "รัฐศาสตร์อาริยะ" อ้างว่า "การต่อสู้คราวนี้หากจะต้องตายก็ถือว่าตายดี เพราะตายเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" เป็นต้น
ประเด็นคือ แม้ท่านพุทธะอิสระและสมณะโพธิรักษ์จะอ้างเรื่องอหิงสาสันติในการต่อสู้ แต่การต่อสู้ทางการเมืองที่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ต้องเดินตามหลักการ กติกาประชาธิปไตยอย่างเคร่งครัด เพราะ "ประชาธิปไตยเป็นทั้งวิถีและจุดหมายในตัวมันเอง" ความก้าวหน้าของประชาธิปไตยย่อมงอกงามออกมาจากกระบวนการต่อสู้ด้วย "วิถีทางประชาธิปไตย" เท่านั้น ไม่มีทางงอกงามออกมาได้จาก "วิถีทางนอกระบบ"
นอกจากนี้ วิถีทางประชาธิปไตยยังเป็นวิถีทางแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติในตัวมันเอง เช่นเมื่อประชาชนทั้งประเทศมีความเห็นต่างในเรื่อง "ความชอบธรรม" ของรัฐบาล การยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่คือวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งจากความเห็นต่างนั้นอย่างสันติ แต่ "วิธีทางนอกระบบ" คือ "ความรุนแรงในตัวมันเอง" ไม่ว่าจะยึดอำนาจรัฐโดยกองทัพหรือโดยมวลมหาประชาชน มันย่อมเป็นความรุนแรง เพราะเป็นการ "ละเมิด" สิทธิ "ทำลาย" อำนาจของประชาชนทั้งประเทศ และในที่สุดย่อมส่งผลให้เกิดความขัดแย้งบานปลายเป็นความรุนแรงนองเลือดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้น การที่ท่านพุทธะอิสระและสมณะโพธิรักษ์อ้างสันติ อหิงสาสนับสนุนวิถีทางนอกระบบ (ซึ่งมีความรุนแรงในตัวมันเอง) เพื่อยึดอำนาจรัฐตั้งรัฐบาลคนกลาง (?) และสภาประชาชนคนดี (?) เพื่อปฏิรูปประเทศตามโมเดลของฝ่ายตน (?) จึงขัดแย้งต่อวิถีทางประชาธิปไตย และล่อแหลมต่อการเกิดรัฐประหารที่อาจตามมาด้วยความรุนแรงนองเลือด
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าจะถูกตามหลักสันติวิธีทางพุทธศาสนาที่ต้องดำเนินไปอย่างปราศจากการเบียดเบียน แต่ต้องมีเมตตาธรรมสำนึกปกป้องชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างถึงที่สุด และใช้ปัญญาประเมินผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของ "อคติ" หรือ "โมหจริต" อันอาจทำให้ตกลงไปใน "หล่มเหว" ของความเชื่อแบบหัวชนฝาซึ่งปิดตัวเองจากการรับฟังเหตุผลของฝ่ายเห็นต่างซึ่งเป็น "เสียงข้างมาก" อย่างสิ้นเชิง
ขอบคุณ มติชนรายวัน วันที่ 12 ก.พ.2557
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ