บทวิเคราะห์ : ภาคประชาชนตายแล้ว

ใบต้องแห้ง 13 ก.พ. 2557 | อ่านแล้ว 1767 ครั้ง

ผมเพิ่งโพสต์ fb ว่าชีวิตนี้ไม่อยากเจอหน้าสุริยะใส กตะศิลา อีก เพราะทนไม่ได้ แค่เห็นออกทีวียังต้องอดใจว่าซื้อทีวีมาหลายพัน

ที่หมดความอดกลั้นเพราะยะใสเอาเรื่องชาวนาไม่ได้เงินจำนำข้าวมาโจมตีรัฐบาล เล่นการเมืองบนโศกนาฏกรรมของชาวนา ทั้งที่พวก กปปส.เอง สกัดกั้นทุกวิถีทางไม่ให้รัฐบาลกู้เงิน

อ้อ แล้วอย่าคิดว่าไม่รู้นะครับ ชาวนาบางคนที่ขึ้นเวที กปปส.ก็มาจากเครือข่ายเกษตรกรที่แนบแน่นกับพันธมิตรมาตลอด 8 ปี

ความรู้สึกนี้ผมเคยมีแต่กับนักการเมือง ที่รู้ไส้รู้พุงว่าตอหลดตอแหล ความรู้สึกนี้ผมไม่เคยมีกับพวกพันธมิตรฯ “ภาคประชาชน” แม้ต่อสู้ความคิดกัน 8 ปี หมั่นไส้บ้าง รำคาญบ้าง โกรธบ้าง แต่ยังพยายามทำใจ และยังพอทำใจได้ ยังไม่เคยรู้สึกขนาดนี้

ผมลบเบอร์โทรหมอเกรียงศักดิ์ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ออกจากมือถือ ไม่ใช่วันที่พวกเขาเข้าร่วม กปปส.แต่เป็นวันที่พวกเขาสรรเสริญเยินยอปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งที่ฟาดฟันกันมา แต่พอปลัดเปลี่ยนสี ก็เป็นคนดีไปหมด

ว่าแล้วก็หัวเราะ สะใจ เมื่ออ่านบทความผู้จัดการ “อวสานแพทย์ชนบท” เพราะหมอณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ช่วงชิงเป็นหัวขบวนประชาคมสาธารณสุข แพทย์ชนบทหมดราคา

ความรู้สึกนี้เชื่อว่าไม่ใช่ผมคนเดียว แต่เป็นความรู้สึกร่วมของคนในฝ่ายประชาธิปไตย ต่ออดีตมิตรสหาย ที่เคยทำงานภาคประชาชน NGO สื่อ หรือคนเดือนตุลา ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตายกันมา แต่วันนี้ไปยืนบนเวทีนกหวีด

สงครามกลางเมืองครั้งนี้ พวกเขา “เปิดหน้าชก” ทุ่มสุดตัว อย่างไม่พะวงว่าจะต้องอยู่ร่วมโลกกันอีก ทำให้สายสัมพันธ์ที่ถูกบั่นทอนมา 8 ปี ขาดสะบั้น เหนี่ยวรั้งไม่อยู่

เปล่า ไม่ได้บอกว่าหลังขัดแย้งมา 8 ปียังมีความเพ้อฝันจะกลับมาจูบปาก “เหลือง-แดง รวมกันได้” รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ แค่ยังหวังว่าจะต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องเป็นศัตรูกัน อะไรที่พอร่วมกันได้ ให้ยังมีบ้าง อย่างน้อยเรื่องส่วนตัวยังไปเผาศพได้

แต่วันนี้ไม่มีแล้วครับ ขาดสะบั้น ไม่สามารถสังฆกรรมกันโดยสิ้นเชิง กระทั่งตาย ก็ยังคิดหนัก (ถ้าผมตายไม่ต้องคิดมาก อย่ามาเลย)

หลังจากนี้ ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะ พวกเขาจะทำอะไร จะเคลื่อนไหวอะไร ต่อให้อ้างว่าเป็นเรื่องของประชาชน ก็เห็นจะร่วมด้วยไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องที่ดี อย่างเก่งก็ไม่ขัดขวาง ไม่ใช่ใจดำ แต่ไว้วางใจไม่ได้ ถ้าทำอะไรสำเร็จ พวกเขาก็จะเก็บเกี่ยวผลพวงไปเคลื่อนไหวล้มประชาธิปไตยอีก

ติ่งปฏิรูป

พูดอย่างนี้ พวกเขาก็คงชี้หน้าว่าผมเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” ปกป้องรัฐบาล โกรธแค้นแทน “ระบอบทักษิณ” จนตัดสัมพันธ์เพื่อนพ้องน้องพี่ หรือคนที่ทำงานเพื่อผลประโยชน์ประชาชน

ก็ตามสบาย ผมไม่ต้อง defend ตัวเอง ผมทำอะไรชัดเจนอยู่แล้ว ตลอด 8 ปี ไม่เคยพลิกลิ้นเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ไม่ใช่เลือกข้างแล้วพลิกถูกเป็นผิด ดัดจริตแกล้งไม่เห็นความเลวข้างตัว ใช้ทุกอย่างเป็นอาวุธ แปลงฆาตกรเป็น “กำนัน” ชูคำขวัญทำลายความเสมอภาค “คนไม่เท่ากัน” เพื่อเป้าหมายอันสูงส่ง “ปฏิรูปสังคมลดความเหลื่อมล้ำ”

ผมเข้าใจเป้าหมายของพวก “ภาคประชาชน” NGO และซ้ายเก่า ที่เข้าร่วม กปปส.นะครับ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ

            “ปฏิรูปสังคมลดความเหลื่อมล้ำ” ด้วยการล้มประชาธิปไตยเลือกตั้ง สถาปนาอำนาจร่วมกันระหว่างเครือข่ายอำมาตย์ แมลงสาบ คนชั้นกลางปีกขวา และ “ภาคประชาชน” ภายใต้รูปแบบ “นายกฯคนกลาง” แก้ไขรัฐธรรมนูญทำลายอำนาจเลือกตั้ง เพิ่ม ส.ส.สรรหาจากสาขาอาชีพ

นี่คือ “ปฏิวัติประชาชน” ของพวกเขา ซึ่ง “ภาคประชาชน” ฝันว่าพวกเขาจะสามารถต่อรอง “ปรับโครงสร้าง” ที่เป็นธรรมผ่านนายกฯ คนกลาง เช่นกระจายอำนาจตัดสินใจเรื่องทรัพยากรให้ชุมชน สกัดกั้นการขยายตัวของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เฉพาะหน้า อาจหวังให้ยกเลิกโครงการต่างๆ ที่ NGO ต่อต้าน ระยะยาว คงหวังว่าจะได้ที่นั่งในสภาลากตั้ง

เป้าหมายของ “ภาคประชาชน” คือความเพ้อฝัน แม้พวกเขาคงได้บางอย่าง ตามสูตรต่อรองของหมอประเวศ แต่ไม่ได้ทุกอย่าง และไม่ได้เสียเป็นส่วนใหญ่

ถามจริง คุณคิดว่าอำนาจที่ไม่มาจากเลือกตั้ง รัฐราชการ จะเห็นด้วยกับเลือกตั้งผู้ว่า โอนโรงเรียนให้ท้องถิ่น ฯลฯ กระจายอำนาจให้ชุมชน อย่างนั้นหรือ ยังไม่ต้องเพ้อเจ้อถึง “ทวงคืน ปตท.” ปฏิรูปพลังงาน

ย้อนถามแพทย์ชนบท ประชาคมสาธารณสุขที่ตอนนี้ปลัดเป็นพระเอกไปแล้ว จะเอาด้วยไหม ถ้าให้ รพ.ชุมชนออกนอกระบบ แบบ รพ.บ้านแพ้วทั้งประเทศ

            “ภาคประชาชน” ภาคภูมิใจว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการยื่นดาบ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” “สภาประชาชน” ให้ “กำนัน” เอาไปขายคนชั้นกลางชาวกรุงที่เป่านกหวีดจนสมองหมุนติ้ว “ใครว่าเราไม่เอาเลือกตั้ง เราแค่ต้องการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง “เราเอาเลือกตั้ง แต่ใครไปเลือกตั้งเราบีบคอ”

เทพเทือกกับสาวกคิดประเด็น “ปฏิรูป” “สภาประชาชน” ไม่เป็นหรอกครับ แต่พอจะไล่รัฐบาล หมดประเด็นนิรโทษ หันรีหันขวาง ก็มาคว้าดาบ “ปฏิรูป” ซึ่งพวก คปท.ใช้เล่นว่าวอยู่อุรุพงษ์มานานแล้ว แต่ไม่ติดลม

ถามว่า ปชป.จริงใจปฏิรูปไหม ก็ผลการปฏิรูปชุดหมอประเวศ-อานันท์ เคยเอาไปทำอะไรไหม ถามว่าเครือข่ายอำมาตย์ รัฐราชการ ทหาร ศาล ต้องการปฏิรูปไหม-ปฏิรูปคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเขา ถามว่าคนชั้นกลางชาวกรุง ชาวสีลม ชาวอโศก ไฮโซ เซเลบส์ ทายาทตระกูลใหญ่ อยากปฏิรูปไหม-ปฏิรูปนักการเมืองสิ แต่อย่ามาแตะต้องวิถีชีวิตที่มีอภิสิทธิ์บนความเหลื่อมล้ำ

โถ สลิ่มยังด่าคนจนไม่เสียภาษีอยู่เลย แล้วจะปฏิรูปลดความเหลื่อมล้ำ

“ภาคประชาชน” หลงตนว่ามีบทบาทสำคัญ ทั้งที่ความจริง มวลชนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นของตน เป็นแค่คนกรุงที่เกลียดทักษิณ เกลียดอีปู เกลียดเสื้อแดง พลังอำนาจที่พึ่งพิงก็คือเครือข่ายอำมาตย์ กองทัพ ตุลาการ พวกเขาเพียงแต่หยิบยืมประเด็น “ปฏิรูป” ไปเป็นอาวุธ คนพวกนี้กลับดีใจจนเนื้อเต้นว่าสามารถเสนอประเด็นปฏิรูปสู่สังคม ว่าแล้วก็แสดงบทบาทออกหน้า เป็น “หน่วยกล้าตาย” บุกฝ่าแก๊สน้ำตา พามวลชนปิดล้อมสนามไทยญี่ปุ่น ปิดหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า รื้อป้ายสำนักงานตำรวจ ฯลฯ ขณะที่เทพเทือกนอนดุสิตธานี คนกรุง ดารา เซเลบส์ ไฮโซ สาวออฟฟิศ เป่านกหวีด ใส่เสื้อดีไซเนอร์ ถ่ายอินสตาแกรมอยู่ที่ปทุมวัน ฟังกำนันปราศรัยเสร็จก็ไปหาอะไรแพงๆ กินก่อนกลับบ้าน

สกปรกเพื่อสังคมเป็นธรรม?

เป้าหมายที่เลิศหรูจะเป็นจริงได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่วิธีการไปสู่เป้าหมาย หากขัดแย้งกับเป้าหมายโดยสิ้นเชิง ก็จะทำลายเป้าหมายเสียหมด

คุณคิดจะสร้างสังคมที่เป็นธรรม แต่ใช้วิธีการสกปรกทำลายฝ่ายตรงข้าม เล่นเล่ห์ แบบนักการเมือง  ฉวยอะไรเป็นอาวุธได้ก็เอาทุกอย่าง แบบเสี้ยมชาวนาล้มรัฐบาล แบบปลุกคลั่งชาติคดีปราสาทพระวิหาร ถามว่านำไปสู่สังคมเป็นธรรมได้หรือ

คุณจะปฏิรูปลดความเหลื่อมล้ำ แต่คุณยอมรับคำขวัญ “คนไม่เท่ากัน” หนึ่งคนหนึ่งเสียงใช้ไม่ได้สำหรับประเทศไทย แปลว่าการปฏิรูปนี้คือสังคมสงเคราะห์ คนรวยให้ทานคนจน ไหนล่ะ ชุมชนพึ่งตนเอง

“ภาคประชาชน” ทิ้งคนจนคนชนบท เป็นศัตรูกับมวลชน คิดว่าปล้นอำนาจจากการเลือกตั้งสำเร็จ จะกระจายอำนาจให้มวลชน คุณกำลังรับเหมาทำแทนมวลชน โดยผลักมวลชนไปอยู่ตรงข้าม มันไม่ย้อนแย้งเกินไปหรือ

คุณจะกวาดล้างนักการเมืองโกง แต่เดินตามก้นคนโกง หวังเอาชนะด้วย “กรรมการโกง” ใช้ตุลาการภิวัตน์ ตัดสินอย่างไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม ทำลายกฎกติกาจนป่นปี้ แล้วสังคมที่ดีงามของคุณ เหลืออะไรให้ยึด

คุณปลุกความเกลียดชังคนเห็นต่าง กระทั่งใครไปเลือกตั้งคือไม่รักชาติ ข้าราชการไปทำงานคือขี้ข้าทักษิณ ถูกจับแห่ประจาน ใช้กำลังข่มขู่คุกคาม ตัดน้ำตัดไฟ ไปไกลจนถึงขั้นดาราเซเลบส์ พิธีกรข่าว และกำนันสุเทพ แสดงความสะใจ ที่การ์ดของตัวใช้อาวุธสงครามยิงฝ่ายตรงข้าม

ไม่ห้ามไม่ปรามกันเลยหรือครับ ไหนล่ะ จะสร้างศีลธรรมในสังคม ศีลธรรมเบื้องต้นคือไม่คุกคามทำร้าย ไม่ใช้ความรุนแรงกับคนเห็นต่าง ยังคุมไม่อยู่ แล้วจะไปสร้างสังคมยูโทเปียที่ไหน

คุณไม่ใช่แค่ปลุกความเกลียดชัง แต่ยังทำให้คนเกลียด ซึ่งห้ามเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อคุณใช้วิธีการเยี่ยงอันธพาล ใช้กำลังปิดกั้น ขัดขวาง ปล้นหีบบัตร สกัดคนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ลิดรอนสิทธิพื้นฐาน ครั้งนี้ไม่เหมือนปี 49 หรือปี 51 เพราะนั่นยังทำกับรัฐบาล ทำกับนักการเมือง แต่ครั้งนี้คุณเหยียบหัวประชาชนด้วยกัน

แล้วจะปฏิรูปอะไรบนความแตกแยก ปฏิรูปอะไรในสงครามกลางเมือง หรือคิดว่านี่คือ “ปฏิวัติประชาชน” เอาชนะให้ได้ ยึดอำนาจให้ได้ แล้วใช้อำนาจกดหัวคนไว้เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง

ตลกนะ ขนาดพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีความคิดทฤษฎีชัดเจน ยังล้มเหลว แต่ “ภาคประชาชน” กลับคิดว่า “มวลมหาประชาชน” ที่ไร้ทิศทาง มีแต่ความเกลียดชังเป็นธงนำ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีได้

ไม่มีการ “ปฏิวัติประชาชน” ที่ไหนเริ่มต้นอย่างนี้ สามัคคีชนชั้นนำ สร้างแนวร่วมไฮโซเซเลบส์ โดดเดี่ยวคนชั้นล่าง

ปัญหาของ “ภาคประชาชน” คือรับหญ้าพิษทางความคิดจากฝ่ายซ้าย หล่อหลอมอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมแบบไทยๆ จนปฏิเสธประชาธิปไตย เห็นประชาธิปไตยเป็นเพียงวิธีการ ใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ

ธีรยุทธ บุญมี ชูธงปฏิเสธ “ประชาธิปไตยแบบฝรั่ง” ถูกใจฝ่ายซ้ายและภาคประชาชน ที่เห็นประชาธิปไตยเป็นแค่การเลือกตั้ง แต่ไม่ได้มองว่าประชาธิปไตยคือการเคารพความคิดเห็นต่าง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน

พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคยเคารพความเห็นต่าง พจนานุกรมของพรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีคำว่าเห็นต่าง มีแต่มิตร ศัตรู ใครอยู่ข้างศัตรูคือสมุนทรราชย์ ขี้ข้านายทุน ต้องทำลาย พวกเดียวกันโต้แย้งก็เป็น “ลัทธิแก้” ถูกจัดการอย่างเลวร้าย ยิ่งกว่าฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ

พรรคคอมมิวนิสต์ไม่เคารพความเห็นต่างก็ชนะ? ใช่ครับ ชนะก่อนล้มเหลว ชนะเพราะการต่อสู้นั้นให้ผลประโยชน์เฉพาะหน้า เป็นรูปธรรม แก่คนส่วนใหญ่ เหมาเจ๋อตงยกทัพไปที่ไหนก็จับเจ้าที่ดินตัดหัว แบ่งที่ดินให้ชาวนา ถามว่าคุณยึดอำนาจเลือกตั้งไปแล้วจะทำอะไร ยกเลิกประชานิยม ล้มจำนำข้าว ปฏิรูปที่ดิน ไม่เอารถไฟความเร็วสูง อย่างนั้นหรือ

ธีรยุทธ บุญมี ปฏิเสธ “ประชาธิปไตยแบบฝรั่ง” ให้ความสำคัญประชาธิปไตยแค่การเลือกตั้ง แกล้งทำตกหล่นว่าประชาธิปไตยยังมีหลัก “นิติรัฐ” ระบอบที่ยึดกฎหมายเป็นหลัก ให้ความยุติธรรมทุกคนโดยเสมอหน้า ไม่ใช่ระบอบตุลาการธิปไตย ใช้และตีความกฎหมายอย่างไรก็ได้ ให้ถูกใจ “คนดี”

พรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีหลักนิติรัฐ พรรคคอมมิวนิสต์มีแต่ “ศาลประชาชน” ที่ตัดหัวกันง่ายๆ ยึดทรัพย์ด้วยศาลเตี้ย นักกฎหมายที่สลัดไม่พ้นฝ่ายซ้าย อย่างกิตติศักดิ์ ปรกติ จึงเห็น “ตุลาการภิวัตน์” เป็นศาลประชาชน

ภาคประชาชนที่เติบโตมา 30 กว่าปียังพัฒนาไป “เอาชนะโดยไม่เลือกวิธีการ” ซึ่งเคยใช้ได้ เมื่อนำการต่อสู้เพื่อความเดือดร้อนของชาวบ้าน เช่น สมัชชาคนจน เขื่อนปากมูล ราษีไศล โรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ ฯลฯ NGO ใช้วิธีการสุดขั้วสุดโต่ง หรือบางครั้งก็เล่นเล่ห์ เพื่อเอาชนะ เพื่อแก้ปัญหาทุกข์ยากเดือดร้อนเฉพาะหน้า

วิธีการก็เช่น ตั้งข้อเรียกร้องให้สูง เล่นเล่ห์เจรจา วงในคุยอย่าง แต่ออกมาพูดกับสื่ออีกอย่าง ตีหน้าซื่อ ด่านักการเมือง ด่าข้าราชการ สร้างประเด็นให้เป็นข่าว มารยา กระบิดกระบวน เรียกร้องความสนใจของสังคม หรือกระทั่งนำม็อบไปปะทะ บีบไข่ตำรวจ ให้ร้ายตำรวจ เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบทางการเมือง

มันเคยทำได้นะครับ แต่นั่นคือความทุกข์ยากเดือดร้อนเฉพาะหน้า ไม่ใช่วิธีการเปลี่ยนแปลงประเทศ

เราจะอยู่ร่วมโลกอย่างไร

ถามว่าพฤติกรรมเหล่านี้มีมาตั้งแต่พันธมิตรฯ ไหม ก็ใช่ เป็นพฤติกรรมเดิมๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยจากปี 51

ปี 49 เราเห็นต่าง แยกทาง แต่ในใจยังแก้ต่างให้เพื่อนพ้องน้องพี่ว่า ตกกระไดพลอยโจน ถลำไปขอ ม.7 แล้วถอยไม่ได้ จนนำไปสู่รัฐประหาร หลังรัฐประหารยังหวังว่าจะค่อยๆ ถอยกลับมายืนบนวิถีประชาธิปไตย

ที่ไหนได้ เพื่อนพ้องน้องพี่กลับมายึดทำเนียบ ยึดสนามบิน กลายเป็นขวัญใจแม่ยก กลายเป็นเซเลบส์ แบบอย่างของอุดมการณ์ราชาชาตินิยม ไปไกลจนกู่ไม่กลับ

ปี 56-57 ต่างกับปี 51 ตรงไหน ต่างเพราะเราผ่านเหตุการณ์ปี 53 ปราบปรามมวลชนเสื้อแดง เข่นฆ่า จับกุม ละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทำต่อชาวบ้านตาดำๆ อย่างเลวร้าย

ผมเข้าใจได้ กับพวกสลิ่ม คนชั้นกลางชาวกรุง ที่เกลียดเสื้อแดง ออกใบอนุญาตฆ่า แล้วก็มาเดินตามก้นเทพเทือก ช่วยฟอกตัวล้างผิด “กำนัน” เพราะนั่นคือจิตสำนึกทางชนชั้น พวกเขาเพิ่งตื่นตัวทางการเมือง รับข้อมูลฉาบฉวย

แต่ผมเข้าใจไม่ได้ กับนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน นักสิทธิมนุษยชน ผู้นำแรงงาน ซ้ายเก่า ศิลปินเพื่อชีวิต ที่ไม่รู้สึกรู้สาเหตุการณ์ปี 53 คุณจะโกรธเกลียดทักษิณอย่างไรก็ตาม จะเชื่อว่าทักษิณสั่งชายชุดดำก่อเหตุ แต่คนที่ตายนั่นคือมวลชน คนที่ถูกจับกุมคุมขัง ทุกข์ทรมาน “ระบอบทักษิณ” ที่คุณเกลียดชังยังไม่ทำถึงขั้นนี้

มันไม่ใช่แค่อดีต ไม่ใช่แค่ล้างผิด แต่การออกมาเปิดหน้าชก  “ประกาศสงคราม” เอาแพ้เอาขนะ  แยกคนเป็นสองฝ่าย ไม่ใช่พวกก็คือศัตรู (ไม่ใช่แค่เห็นต่างแล้วตอนนี้)

มันไม่ใช่แค่ไม่รู้สึกรู้สา แต่พร้อมให้เกิดเหตุการณ์แบบปี 53 ที่ใหญ่โตกว่า อำมหิตกว่า นองเลือดกว่า

2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เกิดบรรยากาศที่พยายามจะ Reposition ในภาคประชาชนสองขั้ว บางกลุ่ม บางคน เริ่มฟื้นความสัมพันธ์ อย่างน้อยก็ส่วนตัว แม้รู้ว่าแยกขั้วไม่มีทางเห็นตรงกันได้ ก็ยังสามารถทำอะไรร่วมกันบางอย่าง เช่น ค้านเขื่อนแม่วงก์ ต้าน FTA

ปัญญาชนประชาธิปไตย เสื้อแดงอิสระ ใจกว้างนะครับ “ดาบชิต เชียงใหม่” ยังเปิดไฟเขียวให้ FTA Watch ปลอดประสพกับแดงเชียงใหม่ คุกคาม NGO ก็ถูกประณามทุกสารทิศ

อย่าว่าโง้นว่างี้ แม้แต่โกตี๋ ยัง Reposition ไม่ได้ปิดกั้นคับแคบ ให้พวกทวงคืน ปตท.มาพูดผ่านวิทยุชุมชน

แล้วอยู่ๆ ก็มี “นิรโทษสุดซอย” ใช่ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ผู้รักประชาธิปไตย แดงอิสระก็ประณาม แต่มีจุดร่วมแวบเดียวเท่านั้น ภาคประชาชนก็ไปเดินตามก้นฆาตกร “ต้านโกง”

สถานการณ์ไปถึงจุดที่ไม่สามารถอยู่ในโลกใบเดียวกันได้ เพราะพวกเขาไม่แยแสที่จะอยู่ในโลกใบเดียวกับเรา ไม่แย่แสที่จะอยู๋ในโลกประชาธิปไตยที่ยอมเปิดพื้นที่ให้ความเห็นต่าง พวกเขาไม่ยอมเป็นเสียงข้างน้อยที่มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นต่าง แต่ต้องการเป็นเสียงข้างน้อยที่ยึดอำนาจ อย่างนี้จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร

ไม่สามารถอยู่ร่วมโลก พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะชวนให้ฆ่ากัน แต่ถึงเวลาต่างคนต่างอยู่ “สร้างดาวกันคนละดวง” แยกประเทศในประเทศ  ไม่สามารถกลับมาทำอะไรร่วมกันได้ เพราะหมดความไว้วางใจโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทำบุญร่วมวัด ตักบาตรร่วมขัน

อย่างน้อยก็สัก 20 ปี ให้คนรุ่นตุลาตายหมดก่อน ฉะนั้นในชีวิตผมคงไม่ได้สังฆกรรมกันอีกแล้ว

ท้ายที่สุด อยากทิ้งคำถามว่า “ภาคประชาชน” ที่ไปเป่านกหวีด ยังอยู่บนจุดยืนเพื่อคนยากคนจน เพื่อความเป็นธรรมในสังคมจริงหรือ หรือเอาเข้าจริง เป็นการกลับสู่จุดยืนของคนชั้นกลางเก่า ผสมด้วยโมหะ โทสะ ความต้องการเอาชนะ ความโกรธแค้นที่พ่ายแพ้ ทั้งแพ้ทางหลักการ และเสียฐานมวลชน จนเก็บกดมา 8 ปี

ผมเชื่อคำตอบหลัง ผมจึงเห็นว่าภาคประชาชนตายแล้ว นอกจากเครือข่ายที่สร้างไว้ พวกเขาจะไม่ได้มวลชนอีกเลย

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: