การปฏิรูปที่ว่าคือ Glasnost หรือการเปิดกว้างทางการเมือง และ Perestroika หรือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ จากเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ให้เป็นตลาดเสรีมากขึ้น (ภายหลังจีนมาวิจารณ์สองนโยบายของโซเวียตว่าผิดพลาดที่ทำสองเรื่องพร้อมกัน ที่ถูกคือจะต้องเปิดเศรษฐกิจ แต่ปิดการเมือง ซึ่งก็คือสภาพของจีนในปัจจุบันนี้ สถานการณ์ตอนนี้ดูเหมือนว่า จีนจะ “ถูก” และ “โซเวียต” จะ “ผิด” แต่อนาคตเบื้องหน้าจะเป็นผู้พิพากษาการตัดสินใจของจีนในครั้งนี้เอง)
ต่อมาในปลายปี 1989 มีการเดินขบวนประท้วงระบอบคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออกในขณะนั้น เมื่อทางการปราบปรามไม่สำเร็จ ผู้นำเยอรมนีตะวันออกจึงขอให้กอร์บาชอฟส่งกองกำลังทหารโซเวียตเข้ามาปราบปรามประชาชนเหมือนที่ทำกับประเทศเชคโกสโลวาเกีย แต่กอร์บาชอฟปฏิเสธ ทำให้ผู้นำเยอรมนีตะวันออกต้องประกาศลาออก แล้วนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองในเยอรมนีตะวันออก ถัดจาก นั้น 1 ปีต่อมา เยอรมนีก็รวมชาติ ในขณะเดียวกันก็มีการประท้วงรัฐบาลคอมมิวนิสต์แพร่ระบาดไปทั่วยุโรปตะวันออก นำไปสู่การล่มสลายของคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
ปีรุ่งขึ้น ฝ่ายคอมมิวนิสต์ (โดยเฉพาะแกนนำจาก KGB) ก่อการรัฐประหารและควบคุมตัวกอร์บาชอฟ ในขณะที่บอริส เยสต์ชิน เรียกร้องให้ประชาชนคนหนุ่มสาวรัสเซียต่อต้านการรัฐประหารจนประสบความสำเร็จ กอร์บาชอฟได้รับการปล่อยตัว ต่อมาเขาประกาศลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต สหภาพโซเวียตที่เคยประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ จึงล่มสลาย รัสเซียและ 14 ประเทศต่าง ๆ แยกตัวเป็นอิสระ
มีภาพยนตร์เยอรมันเรื่องหนึ่งพูดถึงเรื่องชีวิตหลังม่านเหล็กในประเทศเยอรมนีตะวันออกคือเรื่อง “The Lives of Others” (บรรทัดต่อไปนี้จะพูดถึงเนื้อหาบางส่วนในเนื้อเรื่อง หากใครไม่ต้องการทราบก็สามารถข้ามไปได้ครับ)
ไอเดียของ The Lives of Others ต้องการจะพูดถึงไอเดียที่คล้าย ๆ กับ Schindler's List คือภายใต้ระบอบการเมืองแบบเผด็จการที่มีการสอดส่องตรวจตราอย่างเข้มงวด และใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อน ท่ามกลางการสมยอมจากพลเมืองส่วนใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าหน้าที่หรือคนที่ได้ประโยชน์และอยู่ในระบอบแบบนี้จะมีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ ลักลอบช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหรือได้รับความอยุติธรรมจากระบบแบบนี้ได้บ้าง (แบบเดียวกับที่ ออสการ์ ชินด์เลอร์ ช่วยเหลือ เชลยชาวยิว ไม่ให้ต้องถูกส่งไปสังหารหมู่ที่เอ๊าท์วิสท์)
The Lives of Others พูดถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจลับของเยอรมนีตะวันออก (หน่วย Stasi) ที่ชื่อ Gerd Wiesler ได้รับคำสั่งให้คอยสอดแนมต่อ Georg Dreyman ซึ่งเป็นนักเขียนบทละคร โดยผ่านการติดตั้งเครื่องดักฟังตามจุดต่าง ๆ ในอาคารที่พัก โดยที่ Dreyman ไม่รู้ตัว จุดเริ่มของคำสั่งนี้มาจากเหตุที่ว่าผู้นำระดับสูงในพรรค เกิดไปติดพันกับแฟนสาวของ Dreyman ซึ่งเป็นนักแสดงหญิง และฝ่ายนำของพรรคมีข้อสงสัยว่า Dreyman จะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์
ก่อนหน้านี้รัฐบาลเยอรมนีตะวันออกก็ใช้มาตรการแบบเผด็จการเต็มรูปแบบในการกำกับอำนาจเผด็จการตนเอง เช่นการโยนคนที่ต้องสงสัยเข้าคุก ทรมาน หรือเก็บเงียบ ฯลฯ โดยไม่ต้องมีพยานหลักฐาน แต่ต่อมาเยอรมนีตะวันออกลงนามในข้อตกลงรับประกันเรื่องสิทธิมนุษยชน ทำให้ต้องใช้มาตรการในเชิงกฎหมายเพื่อเอาผิดต่อพลเมืองมากขึ้น หน่วย Stasi เป็นหน่วยสำคัญที่คอยสอดแนม เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเอาผิดต่อผู้ต้องสงสัยในที่สุด
ในช่วงเริ่มแรก Wiesler สอดแนมตามหน้าที่และด้วยข้อสงสัยว่า Dreyman จะเป็นพวกต่อต้านจริง แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับทราบว่า Dreyman ไม่ได้เป็นฝ่ายต่อต้านแต่แรก แต่ด้วยเหตุปัจจัยทีละเล็กละน้อยรวมทั้งความเหลืออดต่อระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้ Dreyman ตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านในเวลาต่อมา ในขณะลอบดักฟังนั้นเอง Wiesler ก็ได้เริ่มมองเห็นโลกอีกโลกที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ได้เข้าใจความรักอันลึกซึ้งระหว่างคนทั้งสอง และเขาเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อทั้ง Dreyman และแฟนสาวขึ้นทีละเล็กละน้อย นำไปสู่การตัดสินใจหาทางช่วยเหลือสองคนนี้ในที่สุด ด้วยการแก้ไขรายงานบันทึกชีวิตของ Dreyman ที่ต้องส่งผ่านไปยังหน่วยเหนือ (หน่วย Stasi จะทำการดักฟังการใช้ชีวิตประจำวันของเป้าหมาย แล้วบันทึก เป็นรายงานส่งขึ้นไปตามลำดับชั้นบังคับบัญชา) ด้วยเหตุนี้เอง Dreyman จึงได้หลุดพ้นการลงโทษอย่างรุนแรงจากทางการมาได้
เมื่อมีการรวมประเทศแล้ว Dreyman สงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่ถูกลักลอบดักฟังแบบที่คนในขบวนใต้ดินคนอื่นโดน เมื่อเขาสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เขาก็พบว่าตัวเขาถูกลอบดักฟังและสอดแนมการเคลื่อนไหว “เต็มรูปแบบ” ซึ่งยิ่งทำให้เขาประหลาดใจเพราะจากประสิทธิภาพของหน่วย Stasi เขาจะไม่มีวันหลุดพ้นไปได้ ด้วยความสงสัยนี้ Dreyman จึงตัดสินใจค้นหาบันทึกรายงานการสอดแนมนั้น และได้พบว่าเจ้าหน้าที่ที่ใช้รหัส HGW XX/7 เป็นผู้ดัดแปลงแก้ไขรายงานการสอดแนมไม่ให้ตรงกับความเป็นจริง ทำให้เขารอดพ้นการลงโทษมาได้
ในที่สุด Dreyman จึงตัดสินใจเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราวทั้งหมดขึ้น และในหน้าคำอุทิศนั้น เขาก็ได้เขียนถ้อยคำแสดงความขอบคุณต่อ HGW XX/7 ซึ่ง Wiesler มาพบหนังสือเล่มนั้นและทราบถึงคำอุทิศนั้น
หน่วยตำรวจลับ Stasi นี่ทำงานลับทุกอย่างเพื่อปกป้องระบอบคอมมิวนิสต์ ทั้งการลักพาตัว การสอดแนม การจารกรรม ไปจนถึงการเผยแพร่ข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อ มีรายงานว่าหน่วย Stasi อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวและให้การสนับสนุนกลุ่ม Baader-Meinhof Group (The Red Army Faction - RAF) ในเยอรมนีตะวันตก http://www.siamintelligence.com/der-baader-meinhof-komplex/ เคยให้คำปรึกษากับคิวบาภายใต้ฟิเดล คาสโตร และรัฐบาลอียิปต์ในสมัยนัสเซอร์ และช่วยอีดี อามิน จัดตั้งหน่วยตำรวจลับขึ้น ฯลฯ
หรือแม้แต่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการ “INFEKTION” เพื่อใช้ดิสเครดิตฝ่ายอเมริกันว่าเป็นประเทศคิดค้นอาวุธเชื้อโรคอย่าง HIV / AIDS มาก่อน ซึ่งคล้าย ๆ กับที่นักข่าวเจ้าพ่อ conspiracy theory ท่านหนึ่งพยายามโยงการแพร่ระบาดไวรัสอีโบล่าในอาฟริกาตอนนี้ (ซึ่งไม่แปลกเพราะนักข่าวท่านนั้นแปลข่าวมาจากสำนักข่าวสายรัสเซียทั้งดุ้นโดยไม่ตรวจสอบ) ดูข้อมูลของปฏิบัติการ INFECTION ได้ที่นี่ https://www.cia.gov/library/center-for-the-study-of-intelligence/csi-publications/csi-studies/studies/vol53no4/pdf/U-%20Boghardt-AIDS-Made%20in%20the%20USA-17Dec.pdf
หากทว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด แม้ข้อมูลประกอบแวดล้อมจะนำมาจากข้อมูลจริง (บรรยากาศของผู้คนและตัวเมืองในเยอรมนีตะวันออกนั้นหลายคนที่ชมรับรู้ได้ว่าสมจริงมาก) อันที่จริงตัวผู้กำกับ von Donnersmarck ก็เล่าให้ฟังว่าอยากได้เรื่องราวจริง ๆ แบบเดียวกับเรื่อง Schindler’s list แต่เขาหาไม่ได้เลย แม้จะใช้เวลาสืบค้นข้อมูลนานถึง 4 ปี มีเรื่องหนึ่งที่พอจะเข้าเค้า แต่เจ้าหน้าที่ Stasi รายนั้นถูกจับได้และถูกประหารชีวิตในที่สุด เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบอบคอมมิวนิสต์ที่สามารถควบคุมบงการเจ้าหน้าที่ที่ทำงาน ให้ทำงานไป “ตามหน้าที่” โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดถึงเรื่องหัวจิตหัวใจหรือทำเพื่อมนุษยธรรมอะไร แค่ “ทำ ๆ ไปก็พอ” นอกจากนี้ระบบถ่วงดุล ตรวจสอบทั้งลับและเปิดเผยที่วางซ้อนเป็นชั้น ๆ ไปก็มีประสิทธิภาพสูงมาก ทำให้ยากที่จะมีพวกที่หลุดจากระบบอย่างในชินด์เลอร์ได้
แต่ที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่หน่วย Stasi พวกนี้ เชื่อในสิ่งที่พวกตนทำจริง ๆ ว่าทำไปเพื่อประเทศชาติและประชาชน
เรื่องนี้ทำให้แม้จะอยู่ในบรรยากาศประชาธิปไตย และมีการรวมประเทศเยอรมนีแล้ว ไม่เคยมีการเอาผิดใน เรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากเจ้าหน้าที่ Stasi พวกนี้ได้สักรายเหมือนอาชญากรสงครามในคราวนาซีเยอรมัน พวกอดีต Stasi พวกนี้มีการเขียนบทความและหนังสือคอยปกป้องตนเอง มีการรวมตัวพวกอดีต Stasi ถึง 200 คนประท้วง Hohenschönhausen ในเบอร์ลิน ซึ่งเคยเป็นคุก แล้วตอนนี้ดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อรำลึกถึงความเลวร้ายของระบอบคอมมิวนิสต์ แม้แต่ไกด์บรรยายเรื่องของพวก Stasi เล่าให้ ฟังว่ามีพวกอดีต Stasi พวกนี้แฝงในคณะที่เข้ารับฟังบรรยายแล้วคอยตะโกนสอดแทรกว่าผู้บรรยาย โกหก หรือพูดปดอยู่ ตลอดเวลา http://www.theguardian.com/books/2007/may/05/featuresreviews.guardianreview12
ผมได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า อันที่จริงมีคำอุทิศคล้าย ๆ กันนี้ที่ผมได้รับทราบจากที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเรื่องนี้ยังไม่ถึงบทสรุปของมัน.
“เหนืออื่นใด หนังสือเล่มนี้ และชีวิตของผู้เขียน เป็นหนี้บุญคุณ ‘มิตรร่วมรบ 6 ตุลา’ - บรรดาเยาวชนหญิงชายแห่งขบวนการนักศึกษาสมัยปี 2519 ที่อุทิศตนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง ระบอบการปกครองแบบใหม่ ความพยายามของคนบางกลุ่มที่จะหยุดยั้งการต่อสู้นี้ นำไปสู่รุ่งอรุณแห่งชะตากรรม ของวันพุธแรกของเดือนตุลาคมเมื่อ 25 ปีก่อน. ‘มิตรร่วมรบ’ เหล่านี้จำนวนมาก ไม่สามารถรอดการโจมตีในเช้าวันนั้นได้ ผมไม่มี ความสามารถพิเศษอะไรนอกจากพอขีดเขียนได้บ้าง ขออาศัยสิ่งนี้ เป็นความพยายามเพียงเล็ก ๆ ใน การใช้หนี้อันมหาศาลนั้น.”
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ