'ชัยวัฒน์'ชี้ ขัดแย้งยืดเยื้อ ต้องใช้ ปรองดองยืดเยื้อ 

4 พ.ย. 2557 | อ่านแล้ว 831 ครั้ง

ศาสตราจารย์ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ได้แสดงความเห็นในรายการ  เวทีสาธารณะ ตอน เสียงคนเห็นต่างที่ต้องฟังก่อนปฏิรูป ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส  เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2557  มีสาระสำคัญที่น่าสนใจ  โดยชัยวัฒน์ได้กล่าวถึงการปฏิรูปประเทศในครั้งนี้ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้น การยอมรับของประชาชนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นเครื่องตัดสิน เพราะการปฏิรูปทุกแห่งในโลก ไม่ใช่สิ่งที่เข้มแข็งนัก หากแต่ค่อนข้างเปราะบางด้วยซ้ำ และไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนจากสังคม ดังนั้น การปฏิรูปจะสำเร็จลงไม่ได้ หากไม่มีการจัดการความขัดแย้งที่เขามองว่า “หลบใน” หรือ“ยืดเยื้อ”  ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ “การปรองดองที่ยืดเยื้อ” ผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเพื่อช่วยเยียวยาสังคมไทย และการทำเช่นนั้น หมายถึงการเปิดโอกาสให้เสียงในสังคม รวมทั้งเสียงต่างที่เข้มข้นได้มีโอกาสได้ยินไปถึงผู้มีอำนาจในช่วงเวลาของการปฏิรูปครั้งนี้

“เวลาเราคิดเรื่องการปฏิรูป พูดให้ถึงที่สุด เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคม ทีนี้ ต้องถามว่ามันปฏิรูปในเงื่อนไขอะไร  ในประเทศของเรา สภาพแวดล้อมทางการเมือง สังคมที่เป็นอยู่ คือความขัดแย้ง มันก็มีคนซึ่งไม่เห็นพ้องกับทิศทางที่มาตั้งนานแล้ว จนกระทั่งนำมาสู่การยึดอำนาจของ คสช. ซึ่งคณะ คสช. ก็พูดเองว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำรัฐประหารก็เพราะความขัดแย้งกำลังจะกลายเป็นความรุนแรง ก็เลยต้องการจะป้องกัน  ปัญหาสำคัญก็คือว่า เมื่อการรัฐประหารดำเนินมาหลายเดือนแล้ว มันไม่ได้หมายความว่าความขัดแย้งเหล่านั้นหายไป อาการของความขัดแย้งชนิดนี้ ผมอยากจะเรียกว่า “ความขัดแย้งหลบใน”

“ทีนี้ ถ้ามันหลบใน วิธีที่จะอยู่กับมัน ไม่ใช่แค่อยู่เฉยๆ ผมเข้าใจว่า รัฐบาลก็ดี คสช. ก็ดี ยึดอำนาจมาแล้วก็คงไม่ใช่ว่าจะอยู่ไปวันๆ เขาก็มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเหมือนกัน สังคม ไทยก็มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเหมือนกัน คนทั่วไปเองก็มี สปช.ก็มี  คำถามสำคัญ ในความเห็นผมก็คือ ทำอย่างไรจึงจะได้ยินความจริงเกี่ยวกับสังคมไทยในขณะนี้ ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผู้คนซึ่งเห็นต่างสามารถสะท้อนความเห็นของเขาออกมาได้ พูดอย่างถึงที่สุด ในทางการเมือง มันก็เป็นประโยชน์มากที่จะได้ยินเสียงของคนซึ่งไม่เห็นตรงกับรัฐบาลเลย ไม่เห็นตรงกับ สปช. เลย ไม่เห็นตรงกับ คสช.เลย ซึ่งมันอาจเป็นเสียงที่สำคัญในแง่ของการเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบนี้

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ผมคิดว่าเสียงต่างในยามนี้เป็นความจำเป็น เพราะว่ามันจะทำให้เราได้ยินความเป็นจริงในสังคมไทย”

ศ. ชัยวัฒน์ ย้ำว่า แม้แต่เสียงต่าง มันก็มีหลายแบบด้วย อย่างเสียงต่างที่ไม่ต่างมาก ที่ผู้มีอำนาจฟังได้ หรือที่เรียกว่า พวกนี้พูดกันรู้เรื่อง ปัญหาของเราก็คือว่าปัญหาไม่ได้มาจากความขัดแย้งของคนที่พอพูดกันรู้เรื่อง ปัญหามันมาจากเสียงของคนอีกพวกหนึ่งซึ่งถูกกันออกไปเพราะถูกหาว่าพูดไม่รู้เรื่อง

“โจทย์ก็คือว่า จะทำยังไงให้เขาได้เข้ามาอยู่ในกระบวนการของการส่งเสียงเพื่อช่วประคับประคองกระบวนการปฏิรูปให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องและตรงความเป็นจริง  ถ้ารัฐบาล หรือ คสช. อยากทำการปฏิรูปจริงจัง ในกระบวนการนั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับข้อเท็จจริงและความเป็นจริงจากฝ่ายต่างๆ  การมีพื้นที่ปลอดภัยเพื่อเปิดโอกาสให้เสียงที่ต่างอย่างเข้มข้นได้แสดงออก จึงจำเป็นต่อกระบวนการปฏิรูป เป้าหมาย และภารกิจ ที่รัฐบาลปวารณาตัวไว้ตั้งแต่ต้น  ซึ่งอาจจะขัดกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้พอสมควร เช่น ตอนนี้บรรยากาศของสังคมไทยอยู่ภายใต้กฏอัยการศึก เท่าที่ผมเข้าใจ ต่อให้ คสช. หรือรัฐบาลพอจะมีนโยบายเปิดอยู่บ้าง เปิดโอกาสอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาภายใต้กฏอัยการศึก เขาอาจจะบอกว่า เรื่องอย่างนี้ ไม่ต้องจัด ไม่ต้องพูด ไม่ต้องฟัง ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ของเขา แต่ผลที่เกิดคือโอกาสที่สังคมไทย รัฐบาล สปช. หรือ คสช. จะได้ยินความจริงจากอีกฝ่ายซึ่งแตกต่างอย่างเข้มข้นก็จะลดลง ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่จะสัมฤทธิผลในเรื่องของการปรองดองในรูปของการปฏิรูปก็จะลดลงด้วย”

“พูดให้ถึงที่สุด พื้นที่ปลอดภัยนี่ มันจะต้องหมายความว่า สังคมไทยมีเสรีภาพมากขึ้นในการแสดงออกในประเด็นเหล่านี้ คนคงไม่อยากแสดงออกถ้าไม่แน่ใจว่าแสดงแล้ว มันจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุขกับเขา การคืนความสุข ส่วนหนึ่งของความสุขก็คือเสรีภาพ”

“การปฏิรูปอย่างราบรื่น” นี่ คำถามน่าสนใจคือการปฏิรูปนั้นจริงจังแค่ไหน เป็นการปฏิรูปที่จะแก้ ปัญหาประเทศในระยะยาวแค่ไหน เป็นการปฏิรูปที่สังคมส่วนใหญ่เอาด้วยแค่ไหน  ทีนี้ การเอาด้วยของคนในสังคม มันบังคับให้เกิดขึ้นไม่ได้โดยการตรากฏหมาย แต่มันทำได้โดยการทำให้คนรู้สึกว่าเขามีกรรมสิทธิ์เหนือกระบวนการปฏิรูป เวลานี้ คำถามก็คือว่ากรรมสิทธิ์ในการปฏิรูปมันของใคร ทำโดยใคร ในนามของใคร ซึ่งถ้าไม่มีกรรมสิทธิ์ในการปฏิรูป สิ่งที่จะได้ก็คือ ก็คงปฏิรูป ก ข ค ง 11 ด้าน อะไรก็แล้วแต่ แต่มันไม่ใช่ของเรา เนื้อหามันก็จะเป็นอีกอย่าง การสนับสนุนที่มาจากแรงใจของผู้คนในสังคมมันก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง มันก็คงจะทำให้ยากขึ้น เอาเข้าจริง การปฏิรูปทุกแห่งในโลก มันไม่ใช่ของที่เข้มแข็งอะไรนัก มันเป็นของที่ค่อนข้างเปราะบาง และมันอยู่โดยตนเองไม่ได้ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนจากสังคม”

“ปัญหาของการปฏิรูปภายใต้บริบทของรัฐบาลปัจจุบัน อาจเพราะมาจากทหาร เพราะฉะนั้น เวลาท่านคิด ก็เลยเริ่มต้นจากปรองดองก่อน พอปรองดองเสร็จก็ไปสู่การปฏิรูป ปฏิรูปเสร็จก็ไปสู่กติกา

แต่ปัญหาก็คือเวลาเรามองเรื่องความขัดแย้งขนาดใหญ่ มันไม่ได้เกิดภายในวันสองวันนี้ หรือหกเดือนที่ผ่านมา มันมากกว่านั้นเยอะเป็นสิบกว่าปี ทั้งหมดนี้ที่กำลังเกิดขึ้น มันเป็นลักษณะของความขัดแย้งยืดเยื้อ ถ้ามันเป็นความขัดแย้งยืดเยื้อ วิธีสำคัญที่ต้องทำก็คือ ทำอย่างไรจึงจะเอาฝ่ายต่างๆมาเชื่อมต่อกันในเรื่องของความปรองดอง  ความปรองดองที่ฝ่าย คสช. ว่าทำไปแล้วนี่ ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นความปรองดองที่มีผลดี ยั่งยืนต่อการปฏิรูป ต่อกติกาอย่างไร ในความเห็นเรา การปรองดอง มันก็ต้องทำยืดเยื้อ พอๆกับเรื่องของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ”

“การปฏิรูปที่จะใส่วิธีการปรองดองเข้าไป อย่างพื้นที่ที่เราคุ้นเคย เช่น การปฏิรูปการศึกษา สมมุติ ถามว่าใครเป็น stakeholders บ้าง ผมคิดว่าถามแค่นี้ไม่พอ เพราะมันอาจรวมไปถึงปัญหาของคนซึ่งไม่เห็นพ้องต้องด้วย เช่นเด็กจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการสอบที่กระทรวงศึกษาทำอยู่ เสียงพวกนั้นก็ค่อนข้างสำคัญที่จะเอาเข้ามา ประเด็นอย่างนี้แหละที่จะต้องทำมากขึ้น”

“ในกลุ่มคนที่เห็นต่างอย่างเข้มข้นละคะ ในกระบวนการปฏิรูป อาจไม่สามารถทำได้โดยเปิดเผยนัก พื้นที่ปลอดภัยก็อาจจะไม่ใช่พื้นที่ที่เขาไว้ใจ ยอมพูดในที่สาธารณะเพราะเงื่อนไขยังไม่อำนวย ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ต้องยื่นสะพานเข้าไปในที่มืด ในเงา แล้วก็หาวิธีเชื่อมโยงกับเขาให้ได้ เพราะถ้าไม่ทำ สิ่งที่จะได้ มันก็จะเปราะบางเกินไป”

“พูดให้ถึงที่สุด การปฏิรูป กติกาใหม่ การจัดการกับสังคมไทย การแก้ปัญหาซึ่งหมักหมม มานาน ทำไม่ได้ถ้าไม่ได้ยืนอยู่บนฐานของความเป็นจริง แล้วมันไม่มีวิธีที่จะได้ยินเสียงของความเป็นจริง ถ้าคุณไม่ให้เสรีภาพกับคนได้แสดงความคิดความเห็นของเขา

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: