2 นคราเดือนตุลา

ใบตองแห้ง 11 ต.ค. 2557


เมื่อเร็วๆ นี้ผมเจอรุ่นพี่อดีตแกนนำนักศึกษาสมัย 14 ถึง 6 ตุลา ถามว่ารู้จัก "คุณพร้อม" ไหม เป็นรุ่นพี่ธรรมศาสตร์ เข้าป่าไปทางสุราษฎร์ฯ ชื่อจัดตั้ง "คุณพร้อม" รู้ไหมน้องชาย แกซูเปอร์บิ๊กในกองทัพ ขณะที่ตัวคุณพร้อมก็เหลืองจัด แหม ยังกะนิยาย จากที่พี่เข้าป่าน้องเป็นทหาร 38 ปีผ่านไปกลับมาเห็นพ้องกันได้

ผมฟังแล้วทั้งขำทั้งสะทก สะท้อน เรื่องคนตุลาแยก 2 ขั้วไม่แปลกใจ แค่บังเอิญมีน้องชายเป็นทหาร ที่สะทกสะท้อนคือเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน 6 ตุลา 2519 ผ่านไป 38 ปี 14 ตุลา 2516 ผ่านไป 41 ปี คนรุ่นผมถ้ารับราชการก็นับถอยหลังสู่เกษียณ คนรุ่นพี่ๆ ไม่แปลกอะไรที่มีน้องชายขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุด

นายทหารรุ่นนี้ก็รุ่นเดียวกับคนตุลานะครับ อย่างบิ๊กตู่ ถ้าท่านไม่สอบเตรียมทหาร อ่าน "ชัยพฤกษ์" จบวัดนวลนรดิศแล้วเข้าธรรมศาสตร์ 14 ตุลา 2516 ก็อยู่ปี 3 เผลอๆ กลายเป็นผู้นำนักศึกษา ถ้าย้อนเวลาพลิกมิติ เราอาจจะมี พลเอกธีรยุทธ บุญมี มายึดอำนาจแทน ฮิฮิ

ตำนานคนตุลาถ้าเขียนนิยายขายคงเขียนได้ เป็นร้อยเล่ม เอาแค่ชีวิตปกติก็มีคนออกป่ามาเป็นรัฐมนตรี เป็นเศรษฐี เป็นยาจก 8 ปีที่ผ่านมายิ่ง "ดราม่า" คนเคยหลบกระสุนรอดตายจากสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์มาด้วยกัน คนเคยยากลำบากสู้รบทำสงครามมาด้วยกัน กลับแยกขั้วต่อสู้ฟาดฟันเอาเป็นเอาตาย อันที่จริงก็คนทุกรุ่นในสังคมไทยนั่นแหละ ที่แบ่งสีแยกขั้ว แต่คนตุลา "ดราม่า" กว่าใครเพราะเคย "โค่นล้มเผด็จการ" และเคยต่อสู้เพื่อความใฝ่ฝันกระทั่งเสียเพื่อนเสียเลือดเสียน้ำตามามากมาย

ถามว่ารอบนี้จบไหม จบสิครับ โหย ก็อายุหกสิบกว่ากันหมดแล้ว มีความจำเป็นอะไรต้องคบกันอีก เหลือน้ำใจไมตรีอีกครั้งเดียวคือไปงานศพ (เผลอๆ บางงานไปไม่ได้โดนเป่านกหวีดไล่) นี่ไม่ได้บอกว่าจะฆ่ากัน ถ้าบังเอิญเจอหน้า ก็ทักทาย แต่เมื่อความคิดสุดสายป่าน มีความจำเป็นอะไรต้องคบกัน

ทำไมต้องรุนแรงปานนั้น เพื่อนกัน เคยมีอุดมการณ์เดียวกัน พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ ถามว่าพูดกับใคร ในขณะที่เพื่อนอย่างจรัล ดิษฐาอภิชัย, วัฒน์ วรรลยางกูร กลายเป็น "ผู้ร้าย" หนีออกนอกประเทศ แต่เพื่อนอีกมากมายแห่เข้าไปเป็น สนช. สปช. เรายังพูดภาษาเดียวกันได้หรือ

คนตุลาขัดแย้งกันเพราะอะไร ตอบสั้นๆ ต่างฝ่ายต่างมีอุดมการณ์ นี่ตอบแบบผม ถ้าตอบแบบฝ่ายตรงข้ามเขาก็ว่าผมเห็นแก่อามิสสินจ้างเป็นทาสนายทุน ซึ่งง่ายดี ไม่ต้องอธิบายอะไร ผมสิต้องหาคำอธิบายให้พวกเขาแทบแย่

อุดมการณ์เดือนตุลามี 2 ด้านด้วยกันคือเรียกร้องเสรีภาพ ประชาธิปไตย และต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งพัฒนาไปสู่อุดมการณ์สังคมนิยม กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายก็ออกป่ามาอย่างคนอกหัก แต่คนจำนวนมากยังติด "หญ้าพิษ" เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมดีงามจะต้อง "โค่นล้ม" กวาดล้างอะไรซักอย่าง แล้วสร้างระบอบการปกครองของ "คนดี" แบบ "เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" บังคับให้สังคมเดินไปตามทิศทางที่ต้องการ

ความคิดนี้เมื่อผนวกกับความเกลียดกลัวทุนโลกาภิวัตน์และ "ระบอบทักษิณ" ก็โป๊ะเชะ แม้ต้องเข้าข้าง "อำมาตย์" ก็มีข้ออ้างว่าระบอบทักษิณเลวร้ายอันตรายกว่า เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธี "กินทีละคำ" บางคนยังตีลูกมั่วว่าการโค่นรัฐบาลเลือกตั้งคือเจตนารมณ์เดือนตุลาโค่น "เผด็จการทุนสามานย์" มั่วได้ใจจนอ้างว่า "เผด็จการกับประชาธิปไตยไม่ต่างกัน"

คนพวกนี้ไม่เชื่อว่า ประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความเป็นธรรมในสังคม มองประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือของนายทุน ซึ่งเอาเข้าจริงคือสลัดไม่พ้นหญ้าพิษสังคมนิยม ไม่เข้าใจว่ายังไงๆ สังคมก็ต้องเป็นทุนนิยม สังคมอุดมคติลงคอห่านไป 30 กว่าปีแล้ว ทุนนิยมยังไงก็โหดร้าย แต่ประชาธิปไตยช่วยถ่วงดุลให้เป็นธรรมขึ้น

ถามว่าผมเข้าใจอีกฝ่ายแล้วทำไมพูดกันไม่ได้ ซ้ายจัดก็เหมือนขวาจัดนะครับ ไม่ยอมรับความเห็นต่าง กระทั่งลืมไปว่า "เก้าอี้ฟาด" 6 ตุลาก็มาจากไม่ยอมให้มีความเห็นต่าง เทียนอันเหมินก็ไม่ยอมให้มีความเห็นต่าง พวกที่คลั่งอุดมการณ์ซึ่งไม่อยู่ในวิถีประชาธิปไตยฆ่าเพื่อนได้ง่ายๆ อย่าง เหมาเจ๋อตง ร่วมรบมากับ หลิวเซ่าฉี เผิงเต๊อะไหว ฯลฯ ยังขังสหายจนตายในคุก

เรื่องเศร้าคือเมื่อเราเชื่อประชาธิปไตย ยังไงก็ต้องยอม ให้มีความเห็นต่าง ทั้ง 8 ปีที่ผ่านมาและอนาคตข้างหน้า เราไม่สามารถจำกัดเสรีภาพเพื่อนที่เห็นต่าง เราไม่สามารถไล่พวกเขาออกนอกประเทศ เรามีแค่เสรีภาพขั้นต่ำ คือใช้สิทธิส่วนตัวเลิกคบกันเท่านั้น

ขอบคุณที่มา: ข่าวสดออนไลน์

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: