บทวิเคราะห์: ความเขลาในสังคมปิดยิ่งอันตราย

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ 22 ก.ย. 2557 | อ่านแล้ว 969 ครั้ง

ในทันทีที่เห็นคลิปกองกำลัง ISIS ฆ่าตัดหัวนักข่าวอังกฤษอย่างโหดร้าย นายกรัฐมนตรีคาเมรอนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลอังกฤษว่า แปลกใจที่คนเป็นนักข่าวไม่รู้ว่ากองกำลัง ISIS โหดร้ายขนาดไหน  หรือถ้ารู้ ก็น่าสงสัยว่าทำไมต้องทะเร่อทะร่าไปรายงานข่าวในพื้นที่แบบนั้น สำนักข่าวต้นสังกัดของนักข่าวรายนี้ก็น่าตำหนิที่คิดขายข่าวจนไม่สนใจเลยวานักข่าวมีความเสี่ยงขณะปฏิบัติหน้าที่ จากนั้นก็ปิดท้ายว่าถ้าใครเป็น ISIS ก็คงทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน

หลังจากคำให้สัมภาษณ์ของโอบาม่าและคาเมรอนในต่างวาระและต่างกรณีเผยแพร่ออกไป คนหลายกลุ่มก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างกว้างขวาง ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเห็นว่าผู้นำทั้งสองพูดโดยนึกถึงความรู้สึกของฝ่ายผู้สูญเสียน้อยเกินไป กลุ่มรณรงค์นโยบายและพรรคการเมืองโจมตีว่าผู้นำไม่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ส่วนนักวิชาการวิจารณ์ว่าคำพูดแบบนี้เป็นซากตกค้างของแนวคิดที่โยนความผิดให้กับเหยื่อ (blaming the victims) ในสังคม

แน่นอนว่าเรื่องเล่าจากสามย่อหน้าข้างบนนั้นเป็นเรื่องแต่ง จึงไม่มีทางที่ใครจะเคยได้ยินผู้นำจากสองประเทศพูดอะไรแบบนี้ และต่อให้อาจมีผู้นำจากบางประเทศที่คิดเรื่องประเภทนี้ไปทำนองเดียวกัน ก็คงมีไม่กี่คนที่ฉลาดน้อยจนพูดแบบนี้  สาเหตุคือคำเขลาเป็นพยานแห่งความเขลาของผู้พูดที่ไม่มีใครปกป้องแทนได้  ผู้นำที่เขลาโดยรู้ตัวจึงระวังที่จะไม่แสดงความเขลา โดยเฉพาะผู้นำที่ไม่มีความชอบธรรมอื่น นอกจากความเก่งฉกาจเหนือมนุษย์ของตัวผู้นำเอง

ไม่ว่าผู้นำจะครองอำนาจได้เพราะอะไร เมื่อถึงจุดที่กลายเป็นตัวตลกแสนเขลาในสายตาคนอื่น ผู้นำคนนั้นย่อมไม่เหลืออะไรให้คนอื่นยอมจำนนต่อไปอีก ยกเว้นจะยกระดับตัวเองเป็นทรราชด้วยการใช้กำลังบังคับและการปราบปราม

อนึ่ง ผู้นำไม่ใช่ผู้รู้หรือนักคิดหรือนักวิทยาศาสตร์ ความเขลาของผู้นำจึงไม่ได้หมายถึงการปราศจากความรอบรู้อันกว้าง ขวางแบบนักปราชญ์ การไม่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบนักคิด หรือความล้มเหลวในการหาคำตอบใหม่ๆ เพื่ออธิบายธรรมชาติให้ดีกว่าเดิมแบบนักวิทยาศาสตร์  ไม่เคยมีผู้นำคนไหนเขลาเพราะปราศจากคุณสมบัติที่กล่าวมาเหล่านี้  แต่ผู้นำหน้าไหนก็เป็นคนเขลาได้แน่ๆ หากทำให้ผู้อื่นอดทนให้ความยอมรับผู้นำคนนั้นในฐานะผู้ปกครองไม่ได้ต่อไป 

การพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูดหรือการพูดแบบไม่รู้กาละเทศะเป็นกระจกสะท้อนความเขลาได้เหมือนกัน เพราะแสดงให้เห็นความไม่รู้ว่าการพูดนั้นสัมพันธ์กับทั้งสถานะของผู้พูดและสภาพแวดล้อมในสังคม การพูดแบบนี้จึงหมายถึงความไม่รู้เรื่องที่สังคมคาดหวังว่าทุกคนควรรู้ หรือไม่อย่างนั้นก็คือการไม่เห็นผู้ฟังและคนกลุ่มอื่นในสังคม

ผู้นำในตำนานท่านหนึ่งเคยพูดประโยคตำนานซึ่งเป็นชนวนไปสู่การต่อต้านคณะผู้นำและการปราบปรามในตำนานว่าถ้าสุไม่เอาก็ให้เต้ แต่ผู้ใกล้ชิดทั้งสุและเต้ในเวลานั้นล้วนฉลาดพอที่จะไม่เออออกับผู้นำไปด้วย เครือข่ายของผู้ถูกพูดถึงทั้งสองจึงช่วยกันแก้เก้อว่าผู้นำพูดประโยคตำนานแบบพี่ใจอารีที่พูดถึงน้องๆ โดยไม่ได้คิดจริงจังอะไรทั้งนั้น  ถึงแม้ในที่สุดหนึ่งในน้องๆ จะเอา และเอาอย่างจริงจัง จนทำให้ทั้งสุกับเต้และคณะพบกับจุดจบอย่างที่จบไป

ถ้าผู้นำในตำนานไม่พูดประโยคในตำนานเรื่องสุกับเต้ออกมา ความรู้สึกว่าผู้นำและคณะมองตำแหน่งนายกของประเทศเหมือนการจัดสรรน้องหนูตามประสาพี่ๆ น้องๆ ก็คงไม่รุนแรงมากนัก และวาทกรรมเหลวไหลประเภทผู้นำทำเพื่อความสงบเรียบร้อยก็อาจมีพลังให้คนแกล้งเชื่อต่อไปได้อีกไม่น้อย เช่นเดียวกับการยอมจำนนให้ผู้นำและเครือข่ายรุ่นน้องทำกับประเทศเหมือนมรดกเจ้าคุณปู่ที่คณะผู้นำจะแก้พินัยกรรมอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ

ทำไมผู้นำที่เขลาจึงมักแสดงความเขลาออกมา?

คำตอบที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้คือผู้นำซึ่งเขลานั้นไม่รู้ว่าตัวเองเขลา แต่ก็อาจมีผู้แย้งว่าผู้นำในสังคมไหนย่อมโน้มเอียงจะเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายชนชั้นนำในสังคมนั้น ถึงผู้นำจะไม่มีความรู้กว้างขวาง หรือมีความชำนาญในสาธารณกิจด้านไหนเป็นพิเศษ โอกาสของผู้นำในการเข้าถึงข้อมูลและกลุ่มอิทธิพลก็น่าจะทำให้ความสามารถจะเขลานั้นเสียไปไม่มากก็น้อย การประเมินว่าผู้นำเขลาแบบไม่รู้ตัวว่าเขลาจึงเป็นการดูหมิ่นศักยภาพด้านการรับรู้และใช้เหตุผลของผู้นำเกินไป 

ถ้าประเมินผู้นำอย่างให้ความเคารพว่าครอบครองความฉลาดระดับไม่ต่ำกว่าซีซาร์แห่งอภิมหาภาพยนตร์ที่ไปไกลโขจาก นวนิยายของ Pierre Boulle  สาเหตุที่ทำให้ผู้นำแสดงความเขลาย่อมไม่ได้อยู่ที่การครอบครองความเขลามากเท่ากับความไม่สามารถแยกแยะพื้นที่สาธารณะและพื้นที่เฉพาะตัว เนื้อหาของสิ่งที่พูดจึงอาจไม่ใช่เหตุแห่งความเขลาก็ได้ เพราะคนอื่นพูดแบบเดียวกัน ก็อาจดูไม่เขลา และถ้าผู้นำไม่พูดแบบนั้นในพื้นที่สาธารณะ ก็อาจไม่เขลาได้เหมือนกัน

มีคำอธิบายหลายข้อว่าทำไมสังคมสมัยใหม่แบ่งแยกระหว่างพื้นที่สาธารณะกับพื้นที่ส่วนบุคคล เช่นเดียวกับมีคำอธิบายว่าแต่ละยุคนิยามพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนบุคคลอย่างไรอยู่หลายแบบ แต่ที่แน่ๆ คือการแบ่งแยกทำให้เกิดบรรทัดฐานว่าแต่ละพื้นที่มีสิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่แห่งกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดเพื่อให้เกิดการใช้เหตุผลเพื่อประโยชน์สาธารณะ ส่วนพื้นที่ส่วนบุคคลเป็นพื้นที่แห่งการทำอะไรก็ได้จนในกรณีสุดขั้วก็ไม่ยอมให้แม้แต่รัฐเข้าไปแทรกแซง

ด้วยการแบ่งแยกพื้นที่แบบนี้ คงไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นเรื่องเขลาอะไร ถ้า Dennis Miller เป็นคนพูดตัวอย่างสมมติเรื่องเด็กดำถูกตำรวจขาวยิงตาย หรือ John Oliver เป็นคนพูดเรื่องนักข่าวถูกตัดหัว รวมทั้งหากตัวอย่างสมมตินี้ถูกแก้เป็นว่าโอบาม่าและคาเมรอนพูดเรื่องนี้ในอ่างอาบน้ำกับภรรยา ซูโม่ตู้จึงเพ้อเรื่องคนไม่เท่ากันได้เหมือนก๊วนเหล้าของรุ่นพี่รุ่นน้องพ่นเรื่องข่มขืนแหม่มนุ่งบิกินี่ได้ตามใจ แต่ผู้นำพูดแบบนี้ไม่ได้ และต้องไม่พูดเลยในพื้นที่สาธารณะของประชาชน

ต่อให้อยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำที่นิยมความรุนแรงและไม่มีปัญหากับการข่มขืนอย่างถึงที่สุด สังคมก็ไม่ควรปล่อยให้ผู้นำพูดเรื่องข่มขืนผู้หญิงใส่บิกินี่, ฆ่าคนเพราะสีผิว ฯลฯ ในพื้นที่สาธารณะอย่างไรก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่ากระบวนการนี้จะไม่นำไปสู่บรรทัดฐานว่าการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ไม่ต้องพูดถึงการส่งสัญญาณไปยังคนกลุ่มอื่นว่าผู้นำมองเรื่องพวกนี้ไม่ต่างไปจากพวกคุณ จึงขอให้ทำเรื่องพวกนี้ได้ตามสบาย

เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้นำจะตระหนักถึงความแตกต่างของพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนบุคคลจนเข้าใจต่อไปว่าแต่ละพื้น ที่มีเรื่องที่ทำได้และเรื่องที่ทำไม่ได้? คำตอบจากสังคมอื่นคือเป็นไปได้ และยิ่งในสังคมเปิดที่เป็นประชาธิปไตย โอกาสที่จะได้มาซึ่งผู้นำที่เข้าใจเรื่องนี้ก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะกระบวนการควบคุมตรวจสอบโดยสถาบันการเมืองและกลุ่มสังคมต่างๆ ไม่มีทางยอมให้ใครลอยหน้าลอยตาใช้พื้นที่สาธารณะดูหมิ่นและกระตุ้นความรุนแรงแบบนี้ได้ตามอำเภอใจ

สำหรับใครที่ยืนหยัดจะพูดแบบนี้ต่อไป ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อการพูดย่อมแพงเหลือพรรณนา

ด้วยเหตุเดียวกัน สังคมปิดที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมีโอกาสสร้างผู้นำที่ไม่รู้ว่าพื้นที่สาธารณะไม่ใช่สมบัติส่วนตัวได้มากกว่าสังคมเปิด เพราะสังคมปิดจากคณาธิปไตยถึงอภิชนาธิปไตยล้วนเป็นเรื่องของเครือข่ายชนชั้นนำจำนวนน้อยที่ปกครองสังคมด้วยวิธีเผด็จอำนาจรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง โอกาสที่จะเกิดการตรวจสอบในระบบจึงแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะเกิดการควบคุมตรวจสอบจากนอกเครือข่ายอย่างสถาบันการเมืองและกลุ่มอื่นๆ ในสังคม

ความหวังเดียวของสังคมปิดที่จะไม่ให้ผู้นำทำร้ายคนอื่นด้วยความเขลาคือการฝากความหวังแบบลมๆ แล้งๆ ว่าผู้นำจะตระหนักถึงความไม่เขลาว่าสำคัญต่อสัมฤทธิผลในการปกครอง  แต่ความหวังนี้เป็นจริงได้ไม่ง่าย เพราะผู้นำที่เขลาแบบที่รู้ว่าตัวเองเขลานั้นมีน้อยกว่าผู้นำที่ไม่รู้ว่าตัวเองเขลาแน่ๆ เพลโต้จึงต้องใช้โสกราตีสสร้างบทสนทนาเพื่อให้ผู้อ่านเห็นว่าความเขลาคืออะไร ส่วนตัวละครผู้ครอบครอบงความเขลานั้นไม่เคยหลุดจากม่านหมอกแห่งอวิชชาได้แม้แต่รายเดียว

โปรดสังเกตว่าขณะที่เพลโต้สาธิตว่าคนเขลาใช้ประชาธิปไตยกำจัดโสกราตีสผู้ทำให้ทุกคนตระหนักว่าตัวเองเขลา แต่สังคมประชาธิปไตยก็ให้โสกราตีสตรวจสอบคนเขลาได้ สังคมที่ไร้ประชาธิปไตยจึงเอื้อให้เกิดการปกครองโดยคนเขลายิ่งกว่าสังคมประชาธิปไตย เพราะไม่มีทางเลยที่คนแบบโสกราตีสจะมีโอกาสตรวจสอบคนเขลาได้ตามที่ควร

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

 

 

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: