เมืองไทยจะไปทางไหนหลังจากการประท้วง

โจนาธาน เฮ้ด 9 มี.ค. 2557


ถอดความจากรายงานข่าวบีบีซี ของโจนาธาน เฮ้ด เมื่อ 6 มีนาคม 2557 เรื่อง “เมืองไทยจะไปทางไหนหลังจากการประท้วง” โดย ระยิบ เผ่ามโน

สภาพรถติดกลับมาสู่กรุงเทพฯ ตามแนวถนนสุขุมวิทอีก เวที ลำโพง แผงขายอาหาร และสิ่งประกอบอื่นๆ ของการปิดกรุงเทพฯ ตลอด 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีแล้ว หมดไปพร้อมกับบรรดาการ์ดบาตรใหญ่ที่คอยไล่คนเดินเท้าออกไปจากสะพานข้ามถนนที่อาจเปิดช่องให้แก่มือสังหารรับจ้างได้

แต่กลับมีหมู่บ้านเต๊นท์ขึ้นมาแทนที่ในสวนลุมพีนี พื้นที่สีเขียวแห่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อ กปปส.ยุบรวมจุดชุมนุมหลายแห่งมาอยู่ในที่เดียวกัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำการชุมนุมบอกว่านี่ไม่ใช่การถอย แต่เป็นการปรับตัวอย่างสมเหตุสมผล

ผู้ร่วมประท้วงที่เป็นชนชั้นกลางแต่งตัวดีมีนกหวีดคล้องคอเป็นสัญญลักษณ์ก็ชักจะหายาก มันกลายเป็นค่ายรั้วรอบขอบชิด ซึ่งการ์ดจะตรวจกระเป๋าและบัตรประจำตัวทุกคนที่ผ่านไปมาอย่างละเอียด การ์ดพวกนี้ยังถูกข้อหาว่าข่มขู่ทำร้ายคนที่ตนสงสัยว่าจะเป็นพวกรัฐบาลด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ถูกฟ้องเพียงครั้งเดียว มีชายคนหนึ่งรอดตายมาได้หลังจากถูกทรมานอยู่ ๖ วันแล้วจึงเอาตัวไปโยนแม่น้ำ

ภายนอกสวนลุมฯ กำลังทหารในเครื่องแบบของกองทัพบกนั่งอยู่ภายในบังเกอร์ลายพรางล้อมด้วยกระสอบทรายเห็นอยู่เกลื่อนกราด พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา บอกว่าทหารมาประจำการเพื่อป้องกันภัยให้แก่ผู้ชุมนุม หลังจากปรากฏว่ามีการโจมตีด้วยอาวุธเข้าใส่จุดประท้วงหลายครั้ง

หากแต่การตั้งป้อมทหารรักษาการเหล่านี้ก่อให้เกิดความระแวงไปทั่ว ในเมื่อประเทศไทยเคยมีประวัติการยึดอำนาจมาแล้วอย่างช่ำโชก โดยเฉพาะในเมื่อถูกตั้งคำถาม พล.อ.ประยุทธเองยังไม่อาจปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก มีแค่คำแนะนำท่ามกลางความน่ากลัวที่มันเป็นไปได้ ว่าให้ขึงม่านสีชมพูรอบบังเกอร์จะได้ดูไม่ก้าวร้าว

องค์ประกอบทักษิณ

เช่นนี้แล้วประเทศไทยกำลังจะไปทางไหน หลังจากการประท้วงที่บางครั้งเต็มไปด้วยความรุนแรง และก่อผลกระทบทางร้าย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหาความมั่นใจอะไร

สุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดานายทหารที่หนุนเขาอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งกลุ่มนักธุรกิจ และที่ปรึกษาอาวุโสของสำนักพระราชวัง ก็ไม่ประสพความสำเร็จในการโค่นนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่อาจก่อกวนสร้างความวุ่นวายถึงขั้นฝ่ายทหารจะใช้อ้างเข้ามาแทรกแซงได้

น.ส.ยิ่งลักษณ์กับพี่ชายของเธอที่อยู่ในระหว่างลี้ภัย ก็ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งซึ่งประกาศเมื่อเดือนที่แล้วให้สำเร็จสมบูรณ์ได้ หรือไม่อาจผลักดันสถานที่ชุมนุมของ กปปส. ออกไปจากใจกลางกรุงเทพฯ ได้เช่นกัน

ได้มีการคุยกันของสองฝ่ายมาแล้วเป็นบางคราว บางครั้งก็มีตัวทักษิณเองผู้ซึ่งอาศัยอยู่ดูไบแต่เดินทางไปแถบเอเซียบ่อยๆ เจรจากับคณะของผู้สนับสนุน กปปส. และเมื่อเร็วๆ นี้นี่เองมีการพูดคุยกันในกรุงเทพฯ โดยตัวแทนแต่ละฝ่ายรวมสี่คน รายละเอียดของผลการเจรจาน้อยนักที่จะมีใครรู้ แต่หนทางประนีประนอมดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก

ทักษิณนั้นต้องการให้ยอมรับผลของการเลือกตั้งซึ่งแน่นอนว่าพรรคของเขาจะได้รับชัยชนะ กับยังต้องการให้นิรโทษกรรมความผิดฐานใช้อำนาจเกินขอบข่ายในปี 2551 อีกทั้งให้ยกเลิกการอายัติทรัพย์สินมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ (598 ล้านปอนด์) ของเขาเสียด้วย ฝ่าย กปปส. ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองให้มีผลอย่างถาวรที่ตระกูลชินวัตรไม่สามารถเล่นการเมืองได้อีกเลย

ทักษิณ ชินวัตร

2492 เกิดที่เชียงใหม่ ภาคเหนือของไทย

2516 ศึกษาด้านนิติอาชญาในสหรัฐ

2544 ได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากชัยชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น

2549 ถูกรัฐประหารออกจากตำแหน่ง

2551 หลบหนีออกจากประเทศไทยระหว่างมีคดีในศาล

ยังมีประเด็นอันสำคัญยิ่งยวดต่อปัญหาความขัดแย้งบาดลึกนี้ก็คือ เรื่องการสืบราชสันตติวงศ์

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงดำรงอยู่ประดุจสมมุติเทพ เป็นลิ่มสลักที่รักษาระเบียบทางการเมืองจากบนลงสู่ล่างเอาไว้ตลอด 68 ปีที่ผ่านมาแห่งรัชสมัยของพระองค์ บัดนี้ทรงชราภาพและพระพลานามัยทรุดโทรม สุขภาพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระราชินีนาถผู้ทรงมีบทบาทโดดเด่น ถึงจะมิได้มีการกล่าวขวัญถึงมากนักแต่ก็เชื่อว่าทรุดลงเช่นกัน

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร ทรงเป็นรัชทายาทอย่างทางการ แต่นั่นก็ไม่ได้ยับยั้งการซุบซิบกันถึงแนวสืบราชสันตติวงศ์ทางอื่นได้ ทั้งที่กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันรุนแรงได้กีดกั้นการวิจารณ์ต่อเรื่องนี้อย่างเปิดเผยภายในประเทศเอาไว้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจปัญหาให้ลึกซึ้งหากไม่คำนึงถึงองค์ประกอบในประเด็นดังกล่าว ที่พวกเทิดทูนกษัตริย์มีความวิตกกังวลยิ่งนักต่ออิทธิพลและความทะเยอทะยานของทักษิณ

ข้อหาคอร์รัปชั่น

ต่างฝ่ายต่างแสดงความก้าวร้าวจะเอาชนะซึ่งกันและกัน โดยไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้าต่อไปได้อย่างไร ทั้งสองฝ่ายยื่นฟ้องต่อกันมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน แม้ว่าบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดผลอย่างชงัดก็ได้

คดีที่ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยคณะกรรมการปราบปรามทุจริตแห่งชาติคืบหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งใกล้ถึงจุดสุดท้าย เธอได้ขอเลื่อนคำให้การออกไป แต่ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องถูกชี้มูลความผิดโดย ปปช. ส่งไม้ให้วุฒิสภาทำการถอดถอน ถ้าหากสภาสูงซึ่งจำนวนกึ่งหนึ่งจะต้องได้รับการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ ๓๐ มีนาคมนี้ชี้ว่ามีความผิด เธอจะถูกห้ามไม่ให้กลับมารับตำแหน่งได้อีก

ความวุ่นวายในไทย

กันยายน 2549 กองทัพบกยึดอำนาจทักษิณ

ธันวาคม 2550 พรรคการเมืองฝ่ายทักษิณชนะเลือกตั้ง

สิงหาคม 2551 ทักษิณหลบออกนอกประเทศ

ธันวาคม 2551 การประท้วงต่อต้านทักษิณครั้งใหญ่ ศาลสั่งระงับพรรครัฐบาล อภิสิทธิ์เข้าไปมีอำนาจ

มีนาคม-พฤษภาคม 2553 มีการชุมนุมสนับสนุนทักษิณมโหฬาร คนตายหลายสิบจากการเข้าปราบโดยกองทัพบก

กรกฎาคม 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณได้รับเลือกเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี

พฤศจิกายน 2556 เกิดการประท้วงรัฐบาล

ธันวาคม 2556 ยิ่งลักษณ์ประกาศเลือกตั้งใหม่

มกราคม 2557 ยิ่งลักษณ์ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน

พรรคของเธออาจได้เป็นผู้กำหนดตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ ปปช. ก็กำลังพิจารณาคดีคอรัปชั่นต่อสมาชิกสภากว่า 200 คนของพรรคเธอ

อีกทั้งเธอไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้วได้ เพราะคณะกรรมการเลือกตั้งพยายามหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้มีการเลือกตั้งทดแทนในท้องที่ซึ่งผู้ประท้วงของ กปปส. ไปขัดขวางการลงคะแนน เธอจึงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ และอำนาจในฐานะรัฐบาลรักษาการของเธอก็มีจำกัด

เธอไม่อาจใช้สถานที่ทำงานหลักในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถูกพวกผู้ประท้วงไปปิดกั้นเอาไว้ เธอต้องเคลื่อนที่อยู่เรื่อย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผู้ประท้วง หลัง ๆ นี่เธอไม่ค่อยได้อยู่ในกรุงเทพฯ

ไพ่ตายของฝ่ายเธอที่ถืออยู่ก็คือ การลุกฮือของมวลชนถ้าหากเธอถูกบีบให้ต้องออกไปจากตำแหน่ง

จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วขบวนการเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคของนายกรัฐมนตรี ควบคุมบทบาทไม่แสดงอะไรมากเพื่อป้องกันเกิดการปะทะกับ กปปส. ซึ่งจะเป็นชนวนให้กองทัพที่ไม่ค่อยเห็นใจรัฐบาลอยู่แล้วออกมาแซกแทรงจนได้

แต่หลังเกิดการปะทะกันเมื่อเดือนที่แล้ว ตามด้วยคำสั่งศาลที่ห้ามรัฐบาลใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม กองกำลังติดอาวุธที่สนับสนุนเสื้อแดงขยายขีดปฏิบัติการโจมตีฝ่าย กปปส. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน เป็นเด็ก 4 คน

ขบวนการหลักของเสื้อแดงได้จัดให้มีการชุมนุมในถิ่นของตนทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการแสดงพลังตัดไม้ข่มนามไม่ให้กองทัพและศาลรุกฆาตต่อนายกรัฐมนตรี

เสื้อแดงบางส่วนเริ่มพูดอย่างเปิดเผยถึงการแยกตัวออกไปของภาคเหนือ ร้อนถึงพลเอกประยุทธออกมาแสดงปฏิกิริยาทันควันขู่ว่าจะดำเนินคดีต่อคนที่พูดถึงการแบ่งแยกดินแดน

ภาพของการแยกดินแดนนั้นน่าจะเป็นเพียงการแสดงความอัดอั้นของเสื้อแดงต่อสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ออกมาให้เห็นเสียมากกว่าที่จะคิดทำกันจริงจัง แต่ความเป็นไปได้ในการปะทะกันด้วยอาวุธนั่นคงจะสมจริง

อดีตนายทหารที่ปัจจุบันให้คำปรึกษาแก่เสื้อแดง ในเรื่องปฏิบัติการทางทหารบอกกับบีบีซีว่า มีการวางแผนบรรจุการ์ดจำนวน 2 แสนคน ล้วนติดอาวุธ เตรียมพร้อมยกกำลังเข้ากรุงเทพฯ ถ้าหากว่ามีการบังคับให้ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะโดยฝีมือกองทัพ ศาล หรือองค์กรอิสระอย่าง ปปช. ก็ตาม

จะเป็นด้วยประเด็นนี้หรือว่าปัจจัยอื่นที่ทำให้พลเอกประยุทธยับยั้งชั่งใจก็สุดจะเดาได้ แต่ด้วยกำลังทหารที่เอาเข้ามาตั้งบังเกอร์ในกรุงเทพฯ จำนวนมากมายอย่างนี้ การรัฐประหารย่อมเป็นไปตามยุทธศาสตร์อย่างไม่อ้อมค้อม ทว่าผลที่ตามมาคงเละเทะไม่เบา ใช่ว่ากำลังพลในสายบังคับบัญชาจะภักดีกับพวกพยัคฆ์รุ่นโบราณภายในกองทัพไปเสียทั้งหมด

มีบริษัทใหญ่ ๆ ของไทยบางแห่งแทงเต็งด้วยเงินก้อนใหญ่ไว้กับ กปปส. มุ่งหมายกวาดล้างตระกูลชินวัตรให้สิ้นซาก คนพวกนี้และคนอื่นๆ ที่เกื้อหนุนกระบวนการประท้วงที่กลายเป็นกบฏ ต่างหวาดหวั่นต่อการเอาคืนของค่ายทักษิณอยู่เหมือนกันถ้างานนี้ไม่สำเร็จ

ผู้สนับสนุนของพวกนี้กลัวกันว่าถ้าฝ่ายเสื้อแดงได้รับชัยชนะละก็ จะตามมาด้วยการจัดระเบียบใหม่ทั้งยวงทางด้านการเมืองและสังคม ด้วยเดิมพันสูงมากอย่างนี้การเกี๊ยเซี๊ยระหว่างสองค่ายจึงเป็นเรื่องห่างไกลเกินหวัง

แต่กระนั้นถ้าหากไม่มีการเจรจาต้าเอี้ยกันละก็ ความขัดแย้งจะต้องถูกลากถูลู่ถูกังต่อไป อีกทั้งจะเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น จนผลร้ายอันจะเกิดแก่ประเทศชาติมิอาจประเมินได้

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: