ถึงจะไม่พูดตรง ๆ ว่าชนชั้นนำผู้รังเกียจประชาธิปไตยคือคนฉลาดที่ควรได้ปกครองสังคมที่สุด แต่การแขวะประชาธิปไตยด้วยน้ำเสียงแบบนี้ย่อมไม่มีทางมีความหมายเป็นอื่นไปได้ นอกจากความพยายามหว่านล้อมให้คนเห็นต่อไปว่า อะไรต่างๆ ที่เลวร้ายในระบอบประชาธิปไตยนั้นไม่มีทางเกิดได้ หากชนชั้นนำผู้เปรื่องปราดได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เมื่อพิเคราะห์โวหารการเมืองแนวแขวะแบบนี้ในระดับรายละเอียดต่อไป คำถามที่ควรถามคือผู้รังเกียจประชาธิปไตยทั้งหลายเอาอะไรเป็นหลักฐานในการยืนยันว่า ระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเป็นระบอบซึ่งเปิดโอกาสให้คนฉลาดที่แสนดีได้ปกครองบ้านเมืองในที่สุด หรือว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกจากอดีตถึงปัจจุบันบอกเราอีกแบบว่าระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยคือระบอบที่คนโง่หรือบ้าอำนาจที่ไหนก็ปกครองได้ ขอให้มีพละกำลังก็พอ
จากสปาร์ต้ายุคกรีกสู่ระบอบบิสมาร์คของเยอรมันถึงระบอบสตาลินในโซเวียต ไปจนถึงระบอบฮิโรฮิโตในญี่ปุ่นและระบอบพอลพตในเขมรแดงถึงระบอบกัดดาฟีในลิเบีย มีผู้นำแบบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยหน้าไหนที่พูดได้ว่าฉลาดและเป็นโชคดีของคนในประเทศเหล่านั้นที่มีผู้นำแบบนี้ บิสมาร์คทำให้เยอรมันล่มสลาย สตาลินนำประเทศไปสู่ความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจ ฮิโรฮิโตนำญี่ปุ่นไปหาหายนะในสงคราม พอลพตทำคนเขมรตายไปมากกว่าหนึ่งล้าน ฯลฯ
ผู้ฝักใฝ่อำนาจบางคนอาจแย้งว่าอาร์กาเมมนอนแห่งสปาร์ต้าประสบความสำเร็จในการกำจัดเอเธนส์ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว มีใครจำอาร์กาเมมนอนได้มากกว่าไอ้งั่งบ้าอำนาจที่ใช้กำลังแบบป่าเถื่อนทำลายนครของความรู้และอารยธรรม
ประโยคเฝือๆ ที่คนชอบพูดกันคือเรียนรู้จากอดีตเพื่อปัจจุบัน แต่ถ้าอดีตไม่ถูกบิดเบือนและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตไม่ถูกผูกขาดจนมนุษย์เรียนรู้อะไรได้จริงๆ บทเรียนที่เห็นได้ชัดจนไม่เหลืออะไรให้ปฏิเสธคือ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยคือการปกครองโดยคนส่วนน้อยแสนดีและฉลาด ยิ่งกว่านั้นคือไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน ว่าคนส่วนน้อยจะทำให้เกิดการปกครองที่ยังประโยชน์ให้คนส่วนใหญ่ในสังคม
สำหรับผู้รังเกียจการปกครองโดยคนส่วนใหญ่และฝักใฝ่การปกครองของคนส่วนน้อย โปรดจำไว้เสมอว่าใบหน้าของผู้นำแบบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยคือใบหน้าอย่างซูฮาร์โต อามิน ถนอม ฮาเบียริมาน่าแห่งรวันดา ฯลฯ และระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยไม่เคยหมายถึงการปกครองโดยคนฉลาดอย่างไอน์สไตน์หรือคนแสนดีอย่างคานธี
หนึ่งในฐานทางปรัชญาที่เอื้อให้ผู้รังเกียจประชาธิปไตยยกหางตัวเองไปเองว่า ระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้คนฉลาดเป็นใหญ่คือการทำตัวเป็นติ่งของเพลโต้ซึ่งพูดถึงเรื่อง Philosopher King's หรือกษัตริย์ผู้มีความเป็นปราชญ์เอาไว้ใน The Republic จนนำไปสู่การเข้าใจที่แพร่หลายในคนจำนวนมากว่าเพลโต้และกระทั่งนักปรัชญากรีกคนอื่นๆ คือพวกต่อต้านประชาธิปไตย
สำหรับผู้รังเกียจประชาธิปไตยที่นิยมอ้างเพลโต้เพื่อสร้างความน่าเลื่อมใส มีข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับคำอภิปรายเรื่องราชาปราชญ์ของเพลโต้อย่างน้อยสองข้อ ข้อแรกคือเพลโต้ไม่ได้ทำเหมือนกับผู้ปกครองแบบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยมีความเป็นปราชญ์จนพูดได้ว่าทุกคนเป็นราชาปราชญ์โดยดุษฎี และข้อสองคือต่อให้บางสังคมโชคดีจนเหลือเชื่อที่อยู่ใต้การปกครองของราชาปราชญ์ เพลโต้ก็ไม่เคยบอกว่าคนกลุ่มอื่นจะยอมรับบทบาทของราชาปราชญ์เสมอไป
เพลโต้อภิปรายประเด็นราชาปราชญ์ผ่านวิธีเทียบเคียงกับการบังคับเรือ โดยยกตัวอย่างถึงเรือที่ผู้ควบคุมปราศจากความเข้าใจว่าต้องใส่ใจต่อฤดูกาล ทางลม ดวงดาว ท้องฟ้า ฯลฯ ถึงขั้นซึ่งไม่รู้ว่าโลกนี้มีทักษะที่จะช่วยให้คุมเรือได้อย่างดี วิธีเทียบเคียงราชาปราชญ์กับความสามารถควบคุมเรือแสดงให้เห็นว่าการครอบครองความรู้คือคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของราชาปราชญ์ในความคิดของเพลโต้ โดยเฉพาะความรู้ในแง่ความชำนาญเฉพาะด้านที่สำคัญต่อชุมชนการเมือง
เราอาจเถียงกันได้มากว่าความรู้ในแง่ความชำนาญที่สำคัญกับชุมชนการเมืองนั้นคืออะไร และเราอาจเถียงกันต่อไปได้อีกมากว่าผู้มีบทบาทการเมืองในสังคมประชาธิปไตยนั้นมีคุณสมบัติเรื่องนี้แค่ไหน แต่ที่ไม่มีอะไรให้โต้เถียงได้เลยก็คือแทบไม่มีผู้นำแบบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยหน้าไหนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญที่สำคัญต่อชุมชนการเมือง
แม้กระทั่งประเทศไทยยุคที่ไม่มีนายกฯจากการเลือกตั้งยาวนานที่สุด ซึ่งมักอ้างว่าทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตขึ้น ข้อเท็จจริงกลับมีอยู่ว่าการกระจุกตัวของความมั่งคั่งมีมากขึ้น ส่วนการกระจายรายได้ของประเทศกลับเลวลง
จริงอยู่ว่าความรู้เรื่องการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนการเมืองนั้นสำคัญต่อผู้นำการเมืองเหมือนความรู้เรื่องดวงดาวสำคัญกับผู้คุมเรือ แต่ระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเลยกับการได้มาซึ่งผู้นำการเมืองที่เข้าใจการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนการเมือง ผู้นำในระบอบนี้เป็นได้ตั้งแต่นักรบ, ผู้ที่ไม่เคยรบแต่อ้างว่ารบเก่ง, มหาเศรษฐี, ผู้ดีเก่า, ผู้พิพากษา ฯลฯ จนถึงใครก็ได้ที่ผู้มีอำนาจไว้ใจที่สุด แต่ไม่ใช่แน่ที่จะเป็นผู้ครอบครองความสามารถในการอำนวยประชาธิปไตย
ในแง่นี้แล้ว แม้ความคิดเพลโต้เรื่องราชาปราชญ์จะมีประเด็นใจกลางอยู่ที่การบอกว่าผู้นำต้องครอบครองความรู้บางอย่างที่สำคัญต่อชุมชนการเมือง แต่อะไรคือความรู้ที่ว่านั้น ก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือจนกลายเป็นช่องทางให้ใครก็ได้โจมตีผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ ว่าไม่มีความรู้ความชำนาญทางการเมือง และถึงที่สุดแล้ว ผู้นำแบบต้านประชาธิปไตยจึงสบโอกาสในสถาปนาระบอบการปกครองแบบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยจากเหตุนี้ได้ตลอดเวลา
จริงอยู่ว่าเพลโต้พูดเสมอว่าการเมืองเป็นเรื่องเดียวกับความยุติธรรม ความรู้ที่สำคัญทางการเมืองจึงได้แก่ความรู้ที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับชุมชนการเมืองด้วย แต่การโจมตีประชาธิปไตยและการสถาปนาระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยนั้นไม่เคยเป็นหนทางไปสู่การสร้างความยุติธรรมในสังคมไหนได้แน่ๆ ทำได้อย่างมากที่สุดก็คือทำให้เกิดระบอบการปกครองของผู้พิพากษาหรือไม่ก็ระบอบที่ใช้ความยุติธรรมเป็นข้ออ้างทางการเมือง
ในโลกตะวันตกนั้น อย่าลืมว่าขณะที่รูปเทพีแห่งความยุติธรรมนั้นถือดาบกับตราชูไว้ในมือคนละข้างจนชวนให้คิดไปว่ากำลังกำกับกฎหมายทำให้เกิดความยุติธรรม ดาบในมือเทพนั้นปักลง ขณะที่ตราชูนั้นถูกยกขึ้น ดาบไม่ได้อยู่ในสภาพถูกใช้เมื่อเทียบสัญลักษณ์ของกฎหมาย เทพีแห่งความยุติธรรมจึงไม่เคยบอกว่า “กำลังและอาวุธเท่ากับความยุติธรรม” อย่างมากที่สุดคือการถือไว้ในมือเฉยๆ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจรรโลงให้เกิดความยุติธรรม
ถึงตอนนี้ ถ้าปัญหาของเรื่องนี้คือความกังวลว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ไม่ทำให้ได้มาซึ่งผู้นำที่เข้าใจเรื่องส่วนรวมและทำให้เกิดความยุติธรรมในทุกกรณี แต่ในขณะเดียวกัน ระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกลับเลวร้ายในแง่ได้มาซึ่งผู้นำที่ไม่เข้าใจส่วนรวมและใช้ความยุติธรรมเป็นเครื่องมืออย่างถึงที่สุด ทางแก้ความกังวลเรื่องความไม่สมบูรณ์แบบของประชาธิปไตย จึงไม่ควรเป็นความเลวร้ายอย่างสมบูรณ์แบบของระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตย
ฌาคส์ แดริดา (Jacques Derrida)
ขอบคุณภาพจาก http://versobooks-prod.s3.amazonaws.com
คำอภิปรายของฌาคส์ แดริดา เรื่องมหาวิทยาลัยสมัยใหม่มีแง่มุมให้คิดต่อเรื่องนี้ได้มาก แดริดาบอกว่าหนทางที่ดีที่สุดที่มหาวิทยาลัยควรทำคือให้นักปรัชญาทุกคนดูแลมหาวิทยาลัย แต่แดริดากล่าวต่อไปเพราะเหตุที่ไม่มีคนสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยไหนที่รู้แจ้งจนมีคุณสมบัติของนักปรัชญาที่แท้ ต่อให้ฉลาดแค่ไหน เก้าอี้ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยจึงควรทิ้งไว้ให้ว่างเปล่า หรือไม่ก็อยู่คล้ายความว่างเปล่าให้มากที่สุด
คำตอบของแดริดาเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะแม้คิดแบบตื้นๆ แล้วจะคล้ายกับว่าเก้าอี้ผู้บริหารว่างเปล่าไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงคือเก้าอี้ว่างได้ ถ้าออกแบบความสัมพันธ์ให้ไม่มีใครมีโอกาสอ้างตัวเป็นผู้รู้ไปผูกขาดเก้าอี้ไม่มีสิ้นสุด ทุกคนแสดงความรู้ให้ผู้อื่นรับฟังเพื่อร่วมกันวินิจฉัยตามเรื่องตามวาระและตามเวลาที่กำหนด ความว่างของเก้าอี้จึงเป็นคำเตือนว่าแท้จริงแล้วทุกคนเป็นเจ้าของเก้าอี้ ต่อให้ไม่มีใครนั่งก็ตาม
สำหรับผู้นิยมลัทธิปฏิปักษ์ประชาธิปไตยที่อ่านย่อหน้าที่แล้วไม่เข้าใจ บทความนี้กำลังบอกว่าเลิกได้แล้วกับการคุ้ยหาปัญหาในระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นเหตุให้ผู้คุมพละกำลังได้ครอบครองอำนาจ และสำหรับผู้ที่นิยมอ้างความรักประชาธิปไตยไปเชิดชูระบอบเผด็จอำนาจ บทความนี้กำลังบอกว่า การทำให้ทุกคนเป็นผู้นำคือวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างประชาธิปไตย
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
http://www.facebook.com/tcijthai
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ