เลขาธิการสภารายงานตัว ถูกเด้ง-ยันเป็นกลางตลอด

13 มิ.ย. 2557 | อ่านแล้ว 393 ครั้ง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 13 มิถุนายน นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เดินทางมารายงานตัวที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หลังคสช.มีคำสั่งย้าย โดยระบุว่า ไม่แปลกใจและพร้อมปฏิบัติตามสั่ง เมื่อมีคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ก็ยินดีไม่มีปัญหา ส่วนที่พรรคประชาธิปปัตย์ยื่นหนังสือให้ตรวจสอบตนนั้นก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เราสามารถชี้แจงได้ ส่วนการชี้แจงกรณีต่างๆ อาทิ การจัดซื้อพัสดุก็มีกรรมการที่ตั้งตามระเบียบพัสดุทุกประการ ทั้งกรรมการทีโออาร์ กรรมการจัดซื้อจัดจ้างชี้แจงและทุกโครงการก็มีการตรวจรับไปหมดแล้ว โดยไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องสำคัญ ๆ มีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นกรรมการ เรื่องใดที่เราไม่รู้เรื่องก็มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมทำทีโออาร์ด้วย เช่น เรื่องนาฬิกามูลค่า 40,000 บาท ก็มีการเชิญสำนักมาตรวิทยา ส่งเจ้าหน้าที่มาเขียนทีโออาร์ให้เรา ซึ่งนาฬิกาเป็นเรื่องเดิมตั้งแต่ในปี 2517 ซึ่งมีนาฬิกาทุกห้องประชุมภายในสภาฯ ที่เป็นระบบไฟฟ้าที่เดินตรงกันทุกเรือน และเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็เป็นระบบดิจิตัลแล้ว นาฬิกาที่ใช้มาก็เกิดความชำรุดทรุดโทรม แต่เวลาเป็นเรื่องสำคัญในการประชุมรัฐสภาเป็นเรื่องของข้าราชการที่ต้องมีเวลาที่ตรงกันทุกช่อง เพราะต้องมีการจดและบันทึกรายงานการประชุมและเป็นศูนย์สืบค้นในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นทุกอย่างจึงทำตามระบบของราชการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐสภาจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ หลังจากมีคำสั่งคสช. นายสุวิจักขณ์กล่าวว่า เดินต่อได้เพราะมีงบประมาณเหลือเฟือที่จะทำงาน หากมีการมอบหมายงานให้สภาสานต่อ ไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาปฏิรูปในส่วนนี้รองเลขาฯที่รักษาการอยู่น่าจะดำเนินการต่อได้ ส่วนการย้ายตนมาที่สำนักนายกรัฐมนตรียังไม่ได้มีการมอบหมายงาน เพียงแต่มารายงานตัว

เมื่อถามว่าสาเหตุการโยกย้ายน่าจะมาจากกระแสข่าวที่บอกว่ามีการทำงานเอนเอียง นายสุวิจักขณ์กล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะการเป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีเจ้านายถึง 700 คน คือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 200 คนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีก 500 คน เราเป็นกลไกให้กับการประชุมสภา เราวางตัวเป็นกลางอยู่แล้ว โดยมีกฎคือการให้ข้าราชการรัฐสภาวางตัวเป็นกลาง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาก็ยังคงวางตัวเป็นกลางทางการเมืองอยู่แล้ว และมีให้นโยบายแก่ข้าราชการรัฐสภาในทุกระดับว่าจะต้องวางตัวเป็นกลาง ซึ่งเป็นโยบายที่ตนได้พูดไว้ชัดเจน

เมื่อถามว่าอะไรที่ไม่ถูกใจฝ่ายการเมืองบ้าง นายสุวิจักขณ์กล่าวว่า ไม่มี เพราะรู้จักกันหมด คนที่กล่าวหาตนก็รู้จักกัน เขาเป็นเจ้านายตน ซึ่งตนไม่เคยไปโต้ตอบแต่ในบางครั้งถ้าไม่โต้ตอบ ก็เกิดความเสียหาย ซึ่งมีระเบียบราชการที่ทุกคนทราบดีไม่จำเป็นต้องไปโต้ตอบ และไม่รู้สึกอะไรเพราะชิน เนื่องจากทำงานที่สภามา 37 ปี รู้ทุกอย่างว่าสภาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะผ่านไปได้ด้วยดี รอสักระยะถึงให้คสช.ได้ปฏิรูปก่อน ประเทศไทยจึงน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ดีและมั่นคง

เมื่อถามว่าตอนนี้ยอมรับสภาพหรือไม่ นายสุวิจักขณ์กล่าวว่า ไม่ได้ยอมรับสภาพ แต่ปฏิบัติตามคำสั่ง ส่วนจะได้กลับไปทำงานที่รัฐสภาอีกหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคำสั่ง

เมื่อถามว่าหากมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะกลับไปทำงานที่รัฐสภาอีกหรือไม่ นายสุวิจักขณ์กล่าวว่า คงเป็นหน้าที่ของรองเลขาธิการสภา ที่มีอาวุโสสูงสุดทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการสภาฯ ทำหน้าที่ เช่นเดียวกับการสร้างรัฐสภาหลังใหม่ ทั้งนี้ตนเห็นว่ารองเลขาธิการสภาฯ จะตั้งใจทำงาน โดยที่ผ่านมาในสมัยนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ตนได้ดูแลกิจการสภาเป็นอย่างดี จนมีผู้นำประเทศหลายชาติมาเยือนรัฐสภาอย่างสมเกียรติ์ นอกจากนี้เห็นว่า ช่วงเวลานี้ควรหาโอกาสปฏิรูปสภา โดยเฉพาะการกำหนดระยะเวลาในการพิจารณากฎหมายให้ใช้เวลาน้อยลง เพราะขณะนี้มีกฎหมายค้างในสภากว่า 100 ฉบับ และเป็นกฎหมายที่สำคัญ

ติดตามข่าวสารออนไลน์ทุกวันที่ https://www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: