คมชัดลึกออนไลน์รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 มีนาคม ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย มอบอำนาจให้ นายอาทิตย์ เซกัล น้องชาย ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิดจากกรณี มีคำสั่ง ศรส.ให้เนรเทศนายสาธิต ที่ได้ร่วมชุมนุม กปปส.ปิดสถานที่ราชการ ออกนอกราชอาณาจักร โดยโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนมติหรือคำสั่งที่ ศรส.เพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัยของนายสาธิต พร้อมทั้งขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้โจทก์ถูกจับกุมและถูกผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทยด้วย ทั้งนี้ศาลแพ่ง ได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ 984/2557 และมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินในวันเดียวกันนี้ ขณะที่ทนายโจทก์ได้นำพยานขึ้นเบิกความรวม 2 ปาก ประกอบด้วย นายอาทิตย์ น้องชายของนายสาธิต และนายชุบ ชัยฤทธิ์ชัย ที่ปรึกษากฎหมายของนายสาธิต ต่อมาเวลา 17.00 น. ศาลแพ่งจึงนัดฟังคำสั่งการขอคุ้มครองชั่วคราว
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า กรณีมีเหตุอันควรที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษากรณีฉุกเฉินมาใช้ตามคำร้องของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวสัญชาติอินเดีย เข้ามาในราชอาณาจักรตั้งแต่ขณะมีอายุ 5 ปี กระทั่งอายุ 21 ปี ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร
ซึ่งโจทก์ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีประกอบแต่คุณงามความดีและทำกิจกรรมอันเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยหลายด้าน เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 57 จำเลยที่ 3 และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองได้มีมติให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เข้าร่วมเป็นแกนนำกับกปปส. และขึ้นเวทีปราศรัยให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายบ้านเมือง มีการนำมวลชนไปปิดล้อมกรมการบินพลเรือน จึงเป็นบุคคลที่กระทำการกระทบต่อความมั่นคง และจำเลยที่ 2 ได้ลงนามออกคำสั่งให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์ อันเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และจะต้องถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมเพื่อส่งตัวออกนอกราชอาณาจักร
ขณะที่ทางไต่สวนยังได้ความว่า โจทก์เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มกปปส.จึงได้รับคำคุ้มครองตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง อีกทั้งเมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองโดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณากรณีของโจทก์แล้วก็เห็นว่าคำปราศรัยของโจทก์ยังไม่เป็นภัยต่อประเทศชาติดังนั้นจึงยังไม่มีเหตุเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร
ซึ่งการที่ ศรส.มีคำสั่งเพื่อเนรเทศโจทก์ออกนอกราชอาณาจักร โดยอาศัยประกาศตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 11 (8) โดยเมื่อวันที่ 21 ก.พ. จำเลยที่ 3 ได้พิจารณากรณีดังกล่าวอีกและลงมติลับให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของโจทก์และจำเลยที่ 2 ลงนามคำสั่งตามความเห็นของจำเลยที่ 3 ซึ่งข้อเท็จจริงรับฟังจากนายจรูญ มีสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมการบินพลเรือน ว่า ที่โจทก์พร้อมพวกเดินทางมาที่กรมการบินพลเรือนนั้นไม่มีการข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ และไม่มีการทำลายทรัพย์สินของกรมการบินพลเรือนแต่อย่างใด
อีกทั้งเมื่อวันที่ 7 มี.ค. พล.ต.ต.กฤษฎา สุรเชษฐ์พงษ์ ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบคำสั่งของจำเลยที่ 2 แล้ว ย่อมมีผลให้เจ้าหน้าที่นำตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรได้ จากพฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุผลเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนคำพิพากษามาใช้ตามคำของของโจทก์ได้
ศาลจึงมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสาม ดำเนินการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งตัวโจทก์ออกนอกราชอาณาจักรไว้ชั่วคราว จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ส่วนคดีขอเพิกถอนถิ่นที่อยู่อาศัย นัดไต่สวนในวันที่ 26 พ.ค. นี้ เวลา 09.00 น.
ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ