กล่าวได้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันตนเองเป็นศูนย์กลางการรักษาพยาบาลหรือเมดิคัล ฮับ โดยในปี 2552 ประเทศไทยมีรายได้จากการให้บริการรักษาพยาบาลชาวต่างชาติสูงถึง 6.6 หมื่นล้านบาท แม้จะเป็นนโยบายที่รัฐบาลสนับสนุน แต่ต้องยอมรับว่าความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากผลงานของภาคเอกชนเป็นหลัก ปี 2553 องค์กรตัวแทนบริษัทยาข้ามชาติและองค์กรวิชาชีพ จึงได้เสนอประเด็นเมดิคัล ฮับ แก่ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 เพื่อต้องการแรงสนับสนุนจากมติสมัชชาสุขภาพ
ทว่า มติที่ออกมากลับไม่ได้เป็นดังที่ผู้เสนอคาดหวัง มติสมัชชาสุขภาพฯ ออกมาในท่วงทำนองที่ว่า แม้เมดิคัล ฮับ จะสร้างชื่อเสียงและรายได้เข้าประเทศ แต่ผลอันไม่พึงประสงค์ก็ตามมาเป็นเงาตามตัว จึงต้องกระตุกเตือนภาครัฐให้สร้างกลไกบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดแก่ประชาชน
เมดิคัล ฮับ จึงมีทั้งประโยชน์และผลกระทบที่ต้องทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน
1 โรงพยาบาล 2 ระบบ
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ประกาศเปิดตัวเป็นเมดิคัล ฮับ แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 หรือกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการเปิดโรงพยาบาลเอกชนภายในโรงพยาบาลของรัฐ ถ้อยคำของ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขและการเกษตร ฝ่ายการวิจัยแผนงานเศรษฐกิจรายสาขา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘1 โรงพยาบาล 2 ระบบ’
ดร.วิโรจน์ วิเคราะห์ว่า การเปิดโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ที่แยกตัวออกมาจากโรงพยาบาลศิริราชเดิม วัตถุประสงค์ไม่น่าอยู่ที่การรับรักษาชาวต่างชาติ แต่เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องจากความสำเร็จของเมดิคัล ฮับ ของโรงพยาบาลเอกชน คือเป็นวิธีการหนึ่งที่จะดึงอาจารย์แพทย์ไว้กับโรงเรียนแพทย์ แทนที่จะถูกดูดเข้าสู่ระบบธุรกิจ อีกทั้งยังมองว่า ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากเมดิคัล ฮับ ไม่ควรจะตกอยู่กับภาคเอกชนเพียงฝ่ายเดียว ในเมื่อโรงเรียนแพทย์ก็มีศักยภาพทัดเทียม และสามารถนำเม็ดเงินดังกล่าวไปพัฒนาโรงเรียนแพทย์
เอ่ยถึงเม็ดเงิน ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่กับเมดิคัล ฮับ สิ่งที่ต้องยอมรับคือ สร้างรายได้เข้าประเทศหลักหมื่นล้านต่อปี จากงานวิจัยของ ดร.วิโรจน์ แสดงให้เห็นว่า เมดิคัล ฮับ ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มประมาณร้อยละ 0.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือจีดีพี ซึ่ง ดร.วิโรจน์บอกว่า ถือเป็นเม็ดเงินไม่น้อย ถือเป็นผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจที่ตรงไปตรงมาที่สุดของเมดิคัล ฮับ และไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
การคาดการณ์ของกระทรวงสาธารณสุขตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ.2553-2557) คาดการณ์รายได้ 5 ปี จากการบริการรักษาพยาบาลสูงถึง 281,945 ล้านบาท หากเม็ดเงินจำนวนนี้สามารถดึงเข้าสู่โรงเรียนแพทย์ได้จริง จะช่วยปรับปรุงมาตรฐานหลายด้านให้ดีขึ้นได้
“ชาวต่างชาติที่เข้ามารักษาในเมืองไทย มารักษา 1 คน ญาติสี่ห้าคน เราดึงอย่างนั้นมาเที่ยวบ้านเรา มาตรวจร่างกายบ้านเรา ผมว่าก็เป็นประโยชน์ แล้วเงินส่วนนี้จะจุนเจือไปสู่งานด้านการแพทย์ของเรา”
น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวไว้ทำนองนี้ เพราะคนไข้ 1 คนที่เข้ามารับบริการการรักษาพยาบาลในไทย จะต้องมีผู้ติดตาม ซึ่งย่อมสร้างโอกาสด้านการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เป็นมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเห็นพ้องและชูขึ้นเพื่อสนับสนุนเมดิคัล ฮับ
นักวิชาการทีดีอาร์ไอชี้รัฐอาจประเมินรายได้เกินจริง
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตประการหนึ่งที่ ดร.วิโรจน์ ชี้ให้เห็นว่า แม้เมดิคัล ฮับ จะสร้างรายได้แก่ประเทศค่อนข้างสูงก็ตาม แต่การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจข้างต้นอาจเกินจริงอยู่บ้าง
“เมดิคัล ทัวริสต์ คือพวกที่เดินทางข้ามประเทศ เพื่อรับบริการสุขภาพ คนกลุ่มนี้ไม่ได้คิดจะมาเที่ยว ไม่ต้องโรคหนักนะ คุณไปเสริมความงาม ทางที่ดีคุณควรอยู่เฉย ๆ การที่หวังจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวผสมด้วยมันน้อย โรงพยาบาลเอกชนก็เปิดโรงแรมให้อยู่ ก็เป็นรายได้ของโรงพยาบาล ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว แล้วผู้ติดตามส่วนหนึ่งก็อยู่คอนโดฯ คงไม่มีจิตใจจะไปเที่ยวอะไรมากมาย แล้วใช่ว่าทุกคนจะมีผู้ติดตาม คนที่มาโดยบริษัทเมดิคัล ทัวริสต์ เขาก็จัดการให้เสร็จ คนไข้ก็มาตัวคนเดียว ดังนั้น คนที่คิดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะพอ ๆ กับรายได้จากการรักษา ผมว่าเป็นการคาดการณ์สูงเกินจริง ที่ไม่มีงานวิชาการรองรับ แล้วคนที่ทำส่วนหนึ่งต้องการการสนับสนุนจากรัฐ จึงสร้างตัวเลขให้ดูใหญ่โตกว่าที่เป็น”
นอกจากประโยชน์ด้านตัวเงินแล้ว เมดิคัล ฮับ จะเป็นตัวผลักดันมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้สูงขึ้น เพราะแน่นอนว่า หากมาตรฐานของไทยต่ำกว่าประเทศอื่นมาก ย่อมไม่มีคนเดินทางเข้ามารักษา ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนจึงต้องถีบตัวเองให้ได้มาตรฐานการรักษาที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น มาตรฐาน Joint Commission International Accreditation (JCIA) จาก Joint Commission International (JCI) ดังที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับเป็นแห่งแรกในทวีปเอเชีย
เหล่านี้ยังไม่นับรวมประโยชน์ด้านอื่นที่กระทรวงสาธารณสุขคาดว่าจะได้รับจากเมดิคัล ฮับ เช่น การส่งเสริมการมีสุขภาวะ ส่งเสริมการมีงานทำของประชาชน และการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น
หวั่นเมดิคัล ฮับ ซ้ำเติมปัญหาแพทย์ขาดแคลน
อย่างไรก็ตาม บนหน้าเหรียญอีกด้านของเมดิคัล ฮับ การเปิดตัวโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กระตุ้นให้ฟากฝั่งนักวิชาการสาธารณสุข เอ็นจีโอ และภาคประชาชน ที่ติดตามประเด็นสุขภาพดาหน้าออกมาท้วงติง คัดค้าน และแสดงความวิตก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถูกมองเป็นสัญญาเตือนว่า โรงเรียนแพทย์กำลังถูกดึงเข้าสู่ระบบธุรกิจเอกชน ซึ่งผลกระทบที่ตามมาอาจสาหัสเกินกว่าผลประโยชน์ที่ตกสู่สังคม และปัจจุบันก็มีโรงเรียนแพทย์หลายแห่ง เริ่มเดินตามรอยโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์แล้ว
ในมติของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 ท้วงติงผลกระทบของนโยบายเมดิคัล ฮับ ว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ขาดแคลนอยู่แล้ว และยังมีการกระจายตัวที่ไม่เหมาะสม จะยิ่งขาดแคลนหนักขึ้นจากการดึงแพทย์จากโรงพยาบาลรัฐและโรงเรียนแพทย์ไปสู่ภาคเอกชน และยังย้ำด้วยว่า การผลิตแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขเกือบทั้งหมดภาครัฐเป็นผู้ผลิต ซึ่งต้องใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชาชน เหตุนี้แพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ‘จึงมีพันธกิจหลักในการให้บริการสุขภาพเพื่อประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ’
ข้อวิตกประการหนึ่งที่ผุดขึ้นคือ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ จะต้องนำอาจารย์แพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชเดิมมาใช้ ซึ่ง ดร.วิโรจน์ เชื่อว่าน่าจะมีผลกระทบต่อการรักษาประชาชนในโรงพยาบาลศิริราช
ขณะที่ น.ส.กรรณิการ์ กิตติเวชกุล กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ที่ผ่านมาแพทย์ขาดแคลนอยู่แล้ว การที่ภาครัฐทุ่มทรัพยากรจำนวนหนึ่งลงมาสนับสนุนภาคเอกชนซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงโดยตัวเอง จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาการขาดแคลนแพทย์ยิ่งขึ้นไปอีก
ชี้เมดิคัล ฮับ กระทบระบบสาธารณะสุขวงกว้าง
จากงานวิจัยเมื่อปี 2552 ของ ดร.วิโรจน์ เรื่อง ‘นโยบายการเป็นศูนย์กลางบริการด้านการแพทย์สำหรับชาวต่างประเทศ (Thailand Medical Hub)’ คาดการณ์ว่า ในช่วงปี 2557-2558 ความต้องการแพทย์ของไทยจะเท่ากับ 1,210-1,542 คนต่อปี ซึ่งแม้ว่าจะใกล้เคียงกับจำนวนแพทย์จบใหม่ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,500 คนต่อปี แต่เมื่อหักจำนวนแพทย์จบใหม่และแพทย์ที่เกษียณหรือเลิกทำงานแล้วจะพบว่า ประเทศไทยยังผลิตแพทย์ได้ต่ำกว่าที่ต้องการต่อปีถึง 200 คน
ในงานวิจัยชิ้นเดิมประมาณการความต้องการแพทย์ในปี 2558 ของคนไทยว่า ต้องการแพทย์เพิ่ม 1,891-2,175 คน ขณะที่ผู้ป่วยต่างชาติต้องการแพทย์เพิ่ม 528-909 คน ถ้าการผลิตแพทย์ในอนาคตไปไม่ไกลกว่าตัวเลขข้างต้น ชัดเจนว่าในอนาคตจะต้องเกิดการแย่งตัวแพทย์กันโกลาหล โดยเฉพาะส่วนที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตรงกับความต้องการของคนไข้ต่างชาติ แพทย์กลุ่มนี้ในแต่ละสาขามีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว และการผลิตก็ต้องใช้ระยะเวลามากกว่าแพทย์ทั่วไปมาก เมื่อคนไข้ต่างชาติมีกำลังซื้อสูงกว่า จึงตีความตามระบบทุนนิยมได้ว่า คนไทยที่มีกำลังซื้อต่ำกว่า จะมีปัญหาการเข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และหากแพทย์จำนวนมากที่ถูกดึงไป คืออาจารย์แพทย์ตามโรงเรียนแพทย์ ในอนาคตคุณภาพการเรียนการสอนและการผลิตแพทย์ ย่อมได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้
น.ส.กรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ยังไม่นับปัญหาเรื่องการรักษาหลายมาตรฐานที่จะเกิดขึ้น ทั้งจะยิ่งผลักค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขให้สูงขึ้น เพราะเมื่อแพทย์ถูกดึงตัวออกจากระบบ ภาครัฐก็จำเป็นต้องเพิ่มค่าตอบแทนเพื่อรักษาแพทย์เอาไว้ ซึ่งไม่ใช่การเพิ่มตามกลไกปกติ แต่เพิ่มจากการรวนของระบบธุรกิจที่เข้ามาแทรก เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณซึ่งสุดท้ายจะกระทบกับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดูแลประชาชนกว่า 40 ล้านคน
“ทางกลุ่มที่สนับสนุนนโยบายเมดิคัล ฮับ ยังอยากแก้ระเบียบให้มีการนำเข้ายาหรือเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทยมาใช้ในคนไข้ต่างชาติด้วย ซึ่งเรื่องนี้เรื่องใหญ่ ทุกวันนี้ต้องว่ากันเป็นกรณีต่อกรณี แล้วขั้นตอนเยอะมาก ปัญหาคือยาพวกนี้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน และไม่ได้พิสูจน์เรื่องความปลอดภัย มันมีกรณีที่เศรษฐีลาวมารักษาในไทยแล้วคนไข้เสียชีวิต และยังส่งผลต่อการใช้ยาอย่างฟุ่มเฟือย ไม่สมเหตุสมผล อาจนำไปสู่การดื้อยามากขึ้นหรือไม่ ส่วนนี้ยังไม่มีการศึกษาเลยทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่”
ร้อยละ 0.4 ของจีดีพีไม่ใช่เงินน้อย ๆ ทว่า เมื่อนำมาเทียบกับผลกระทบก็อาจไม่มากอย่างที่คิด กรรณิการ์เสนอว่า ปัจจุบันนี้ที่ภาคเอกชนขับเคลื่อนเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว ภาครัฐไม่จำเป็นต้องสนับสนุนเพิ่มเติมอีก เพราะยิ่งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหา สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ หากลไกทางกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ เพื่อดูดซับแรงกระแทกของเมดิคัล ฮับ และเร่งสร้างนโยบายที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อความต้องการ
ที่เหลือคงขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ว่าจะชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อย่างไร มีมุมมองต่อการรักษาพยาบาลว่าเป็น ‘สิทธิ’ หรือ ‘สินค้า’ และจะหาแสวงหาความสมดุลอย่างไร ยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบชัดเจนจากรัฐบาล
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ