เมื่อวันที่ 28 มกราคม นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการรณรงค์ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งจดหมายเรียกร้องให้ยุติโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ถึงผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำเนาถึง เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ระบุว่า สืบเนื่องมาจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP2010 Revision 3 (2010-2030) และแผนพัฒนากำลัง ผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ PDP2013 (2013-2033) ที่ระบุชัดเจนว่าจำเป็นต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่รวมกำลังการผลิต 4,400-10,000เมกะวัตต์ และหนึ่งในนั้นคือโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ กำลังผลิต800 เมกะวัตต์ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ) คาดว่าโครงการนี้สามารถเดินหน้าก่อสร้างได้และขั้นตอนขณะนี้กำลังทำความเข้าใจกับภาคประชาชนเกี่ยวกับการสร้างท่าเทียบเรือนำเข้าถ่านหิน และจะต้องก่อสร้างให้แล้วเสร็จพร้อมจ่ายไฟฟ้าในปี 2562
ในนามของกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผมขอเรียนให้ทราบว่า โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานภาพของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ “ปากน้ำกระบี่” ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและมีผืนหญ้าทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศซึ่งอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 16 กิโลเมตร รวมถึงผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นที่พึ่งพาธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ในการดำรงชีวิต และประชาชนกว่าครึ่งล้านคนที่พึ่งพารายได้จากการทำประมงและการท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงติดอันดับโลก
กรีนพีซขอเรียกร้องต่อท่านในฐานะผู้บริหารของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดังต่อไปนี้
1.ยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่โดยยกเลิกกระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าและท่าเรือขนถ่ายถ่านหิน และการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยทันที รายงาน EHIA ฉบับนี้นอกจากไร้ซึ่งธรรมาภิบาลแล้ว ยังมิได้รับประกันว่าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้ซึ่งอ้างว่าเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาดจะปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนจากมลพิษร้ายแรงหลายชนิด เช่น ปรอท ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และฝุ่นละออง เป็นต้นที่ปล่อยออกมา
2.ให้สัตยาบันต่อภาคประชาชนในความร่วมมือแบบพหุภาคีเพื่อผลักดันพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันซึ่งครอบคลุมจังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำเงินมหาศาลให้กับประเทศเป็นแหล่งมรดกโลกทางทะเล บนฐานการจัดการทรัพยากรแบบมีส่วนร่วม การตัดสินใจยุติโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่นี้ยังช่วยปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำปากน้ำกระบี่ที่เปราะบางและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางทะเลของคนไทยทั้งประเทศ เป็นแหล่งทรัพยากรที่เลี้ยงชีพผู้คนนับล้าน การขนส่งถ่านหินจากอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้อย่างน้อย 2.3 ล้านตันต่อปี จะต้องใช้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์สำหรับขนถ่ายถ่านหินและมีระวางบรรทุกระหว่าง 50,000-100,000 DWT และทำการขนถ่ายถ่านหินใส่เรือบรรทุกขนาดเล็กผ่านเส้นทางทะเลราว 79 กิโลเมตร จนถึงที่ตั้งโครงการคือความหายนะให้กับกระบี่และพื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน
3.เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานอย่างแท้จริง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุนพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและปลอดภัยในทุกระดับ กระบี่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดจังหวัดหนึ่ง สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ได้ถึงร้อยละ 100 หากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในฐานะรัฐวิสาหกิจชั้นนำในด้านพลังงานริเริ่มนำแผนอนุรักษ์พลังงานปี พ.ศ. 2554-2573 และแผนพัฒนาพลังงานทางเลือกปี พ.ศ. 2555-2564 มาปฏิบัติใช้อย่างจริงจังและเร่งผลักดันกลไกที่มีประสิทธิภาพ เช่น กฎหมายพลังงานหมุนเวียนมาใช้ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่กระบี่และในประเทศไทยอีกต่อไป
4.ในฐานะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการวางแผนพลังงานของชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องก้าวไปให้พ้นจากการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าแบบ “บนลงล่าง” ที่ตั้งอยู่บนฐานของการถดถอยทางเศรษฐมิติ (Econometric regression) แล้วหันมาลงทุนพัฒนาศักยภาพที่จะทำการพยากรณ์แบบ “ล่างขึ้นบน” อย่างจริงจังด้วยการสร้างฐานข้อมูลการบริโภคไฟฟ้าที่แท้จริงในแต่ละภาคส่วน แต่ละอุตสาหกรรมและลักษณะการใช้แต่ละประเภท กระบวนการเช่นนี้ต้องใช้ข้อมูลอย่างมาก และต้องอาศัยความเข้าใจในรายละเอียดมากขึ้นว่าผู้ใช้แต่ละประเภทมีลักษณะการใช้ไฟฟ้าอย่างไร และมีแนวโน้มจะปรับเปลี่ยนไปอย่างไรด้วยปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้า การเลือกรับเทคโนโลยี ราคา บรรยากาศเศรษฐกิจในและต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงประชากร แม้จะเป็นภาระที่ใหญ่หลวง แต่การลงทุนในการสำรวจผู้ใช้ และการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลก็น่าจะเป็นการลงทุนที่ดีกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าที่คิดกันว่าเป็นสิ่งจำเป็นแต่ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นเลย
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ