งานวิจัยแผ่นดินร่ำไห้ ลุ่มน้ำสายบุรี เผยปัญหาที่ทำกินนิคมสร้างตนเองสุคิริน จ.นราธิวาส กว่า 50 ปียังไร้เอกสารสิทธิ์ พ้นกำหนด ปี 2559 ชาวบ้านหวั่นกลายเป็นที่ป่าสงวน ข้อมูลเผยรัฐบังคับทำสัญญาหนี้สินผูกพันที่ทำกิน
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2506 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรไร้ที่ทำกิน ตามพ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ในรูปแบบนิคมสร้างตนเอง 43 แห่ง ใน 32 จังหวัด รวมถึงนิคมสร้างตนเองสุคิริน อ.สุคิริน จ.นราธิวาส มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรที่ดินทำกินให้กับราษฎรยากจน โดยอพยพราษฎรไร้ที่ทำกินจากท้องที่ต่าง ๆ เข้ามาประกอบอาชีพ
นายเฉลิม ศรีภักดี ปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่สุคิริน แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ในพื้นที่นิคมฯว่า พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่ทางนิคมฯ ได้จัดสรรให้ชาวบ้านครอบครองใช้ประโยชน์ โดยชาวบ้านมีที่ดินอยู่อาศัยร้อยละ 85 เป็นที่ดินของตอนเอง แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพราะเป็นที่ดินของนิคม แต่ปัจจุบันชาวบ้านยังไม่ได้รับเอกสารสิทธิ์และในปี พ.ศ.2559 นิคมสร้างตนเองจะถอนตัวออกไป ชาวบ้านมีความกังวลว่า นิคมจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กับหน่วยงานอื่นดูแลต่อ ซึ่งหากไม่รีบจัดการเองเอกสารสิทธิ์ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2559 เกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อชาวบ้าน เกี่ยวกับการจัดสรรที่ดิน ซึ่งอาจเกิดการทับซ้อนเขตกันได้
ข้อมูลจากงานศึกษาพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 77.6 มีที่ดินทำกินแต่ไม่มั่นคง โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ นอกจากนั้นจะเป็นปัญหาที่ดินทำกินไม่เพียงพอ ซื้อที่ดินและไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพราะยังติดหนี้นิคม ปัญหาแนวเขตที่ดินไม่ชัดเจน ปัญหาเขตป่าสงวนแห่งชาติทับที่ทำกิน
ชาวบ้านในพื้นที่นิคมฯ เล่าว่า เจ้าหน้าที่โครงการจัดสรรที่ดินของนิคมฯ ออกกฎเกณฑ์บังคับให้ชาวบ้านที่ได้รับการจัดสรรที่ดินกู้เงิน โดยระยะแรกกู้เงินของโครงการนิคมฯก่อน รายละ 120,000 บาท โดยเกษตรกรจะลงมือด้วยตนเอง และใช้จ่ายเงินเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น อย่างไรก็ตามเงินจำนวนนี้ไม่เพียงพอต่อจำนวนชาวบ้านที่อพยพจากนครศรีธรรมราชและอีกหลายจังหวัดเข้ามาเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ.2525 ตามนโยบายผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยที่ 66/2523
ต่อมารัฐบาลจึงมีโครงการเงินกู้ของธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) เข้ามาให้กู้รายละ 84,044 บาท เป็นเงินค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่าพันธุ์ไม้ และค่าปุ๋ย รวมค่าวัสดุก่อสร้างบ้านอีก 23,000 บาท โดยมีระยะปลดหนี้ 5 ปี แต่ยังคิดดอกเบี้ยสะสมทุกปี หากเกษตรกรที่ดินแปลงหนึ่งยังไม่ได้ชำระหนี้จะเป็นหนี้ประมาณ 170,000 บาท และหน่วยงานของนิคมหยุดการคิดดอกเบี้ยไว้ในปี พ.ศ.2547
นอกจากนี้ชาวบ้านยังสะท้อนถึงปัญหาหนี้สินไม่เป็นธรรม เพราะผูกติดกับแปลงที่ดินแต่ไม่ผู้ติดกับบุคคลผู้กู้เงิน ชาวบ้านที่มาซื้อที่ต่อจากผู้ได้รับที่ดินจัดสรรจึงต้องตกเป็นหนี้และไม่ได้รับเอกสารการรับรองการครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินจากนิคม (นค.1 และ นค.3) ได้
ปัจจุบันเกษตรกรที่รับการจัดสรรที่ดินยุคแรกเสียชีวิตและอพยพออกนอกพื้นที่ไปราวร้อยละ 80 โดยส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคอื่นครั้งก่อต้องนิคมฯ อาทิ ชาวบ้านจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งได้อพยพออกเกือบหมด
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ