เมื่อวันที่ 14 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เขียนข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว Kittipong Kittayarak (กิตติพงษ์ กิตยารักษ์) ข้อเสนอ “ปฏิรูปอย่างไรในกระแสความขัดแย้ง”
โดย กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ อดีตคณะกรรมการคอป. ระบุว่า
1.โจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทยในเวลานี้ ไม่ใช่ประเด็นเรื่อง “การเลือกตั้ง” กับ “การปฏิรูป” เท่านั้น การแก้ปัญหาประเทศไทย ต้องคำนึงถึง “มิติความขัดแย้ง” ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนาน ถึงขั้น “ร้าวลึก” ด้วย ในความขัดแย้งทางการเมืองทั่ว ๆ ไป การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ หรือการปฏิรูปการเมืองจัดทำกติกาใหม่ อาจนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้ แต่กรณีประเทศไทยการเลือกตั้ง โดยไม่ได้จัดการกับปัญหาพื้นฐานของความขัดแย้ง ซึ่งมีรากฐานมาจากความไม่พอใจ ในระบบการเมืองที่เป็นอยู่ นอกจากไม่ใช่แนวทางในการสร้างความปรองดองแล้ว ยังนำมาสู่ความแตกแยกมากขึ้น และอาจนำไปสู่ความรุนแรงที่ขยายวงด้วย ในทำนองเดียวกัน การดำเนินการเรื่องปฏิรูป หากผลักดันโดยคู่ขัดแย้ง โดยไม่สร้างความไว้วางใจ หรือข้อตกลงพื้นฐาน ถึงทิศทางในอนาคตร่วมกัน ย่อมไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้
2.ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ความหวังเดียวที่ทำให้เริ่มมองเห็นแสงสว่าง ที่อาจเป็นทางออกของประเทศ คือความเห็นร่วมกันของทุกฝ่ายที่ต้องการปฏิรูป ผมจึงได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “เวทีกลาง” ที่ประกอบด้วยกลุ่มคนที่โดยภาพรวมของกลุ่มเป็นที่รับได้ว่าเป็นกลางพอ มาเป็นจุดเริ่มต้นให้คู่ขัดแย้ง ได้มีโอกาสพูดคุยกัน เพราะการปฏิรูปในกระแสความขัดแย้ง ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างแน่นอน ถ้า “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” (Stakeholders) ซึ่งย่อมต้องรวมถึงคู่ขัดแย้งด้วย ไม่ได้มาร่วมตกลงในกรอบอนาคตของประเทศ ที่เราอยากเห็นร่วมกัน
“ในตอนนั้นผมไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับ “วันเลือกตั้ง” เพราะคิดว่าหากเกิดเวทีพูดคุยกันแล้ว ก็จะเห็นได้เองว่า เราสามารถพิจารณาจัดทำ “Roadmap” หรือ “เส้นทางสู่การปฏิรูป” และ“หลักประกัน” ที่ชัดเจนที่จะมั่นใจว่า การปฏิรูปจะเกิดได้จริง หลังการเลือกตั้งได้ทันหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เห็นได้เองว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แต่ในที่สุดด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้ “เวทีกลาง” ของการพูดคุยไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อไม่สามารถมีเวทีกลางในการพูดคุยเกิดขึ้น ความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเลือกตั้ง และความพยายามในการนำเสนอกรอบแนวทางในการปฏิรูปของรัฐบาล จึงไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ เพราะไม่สามารถทำให้เกิด “ความเชื่อมโยงระหว่างการเลือกตั้งกับอนาคตในการปฏิรูป” ในระดับที่เพียงพอที่จะทำให้สังคมมั่นใจว่าจะนำมาสู่ทางออกของประเทศได้”
3.เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่กล่าวมา ผมคิดว่าขณะนี้ประเทศไทย ได้เดินมาถึงทางแยกอีกครั้งหนึ่ง ทางแยกหนึ่ง คือสถานการณ์ที่คู่ขัดแย้งไม่พูดคุยกัน เพราะยังไม่พร้อมที่จะถอย ยังคงชิงไหวชิงพริบในความได้เปรียบทางการเมืองตลอดเวลา หนทางสายนี้เป็นเส้นทางวิบากที่ยากจะทำให้ความหวังร่วมกัน ที่จะหาทางออกให้ประเทศในระยะเวลาอันสั้น และจะเป็นหนทางที่ในที่สุด จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ความรุนแรงและความสูญเสียที่จะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบ้านเมือง ที่ยากจะทำให้กลับมาดังเดิมได้อีก
อีกทางแยกหนึ่งคือ การที่คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายยอมถอยคนละก้าว ยอมที่จะเข้ามาในเวทีกลางของการพูดคุยและใช้กระบวนการการเจรจา นำไปสู่การปฏิรูปประเทศให้เกิดขึ้นให้ได้ ในวิถีประชาธิปไตย อันจะเป็นการนำพลังความขัดแย้งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา มาสู่การสร้างความเข้มแข็งในทุกมิติให้ประเทศ เป็นการทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาอีกระดับหนึ่งของพัฒนาการประชาธิปไตย
ผมคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องน่าจะได้มีการตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า (1) ความขัดแย้งที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศไทยมายาวนาน และถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องหาทางออกให้กับประเทศ โดยร่วมกันนำเอาประเด็นการปฏิรูปประเทศ มาเป็นประเด็นเริ่มต้นในการหาทางออกจากความขัดแย้ง และความแตกแยกอย่างถาวรใช่หรือไม่
(2) เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศไทย เราต้องการให้การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งเพื่อการปฏิรูป และรัฐบาลและรัฐสภาหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นรัฐบาลและรัฐสภาที่มีภารกิจหลักเรื่องการปฏิรูป ก่อนที่เราจะมีการเลือกตั้งอีกครั้งภายใต้กติกาใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกันใช่หรือไม่
(3) หากเราไม่ใช้โอกาสนี้ในการแก้ปัญหา โดยแนวทางที่เป็นที่ยอมรับตามวิถีประชาธิปไตย ประเทศไทยจะถลำเข้าสู่วงจรความขัดแย้งรอบใหม่ ที่จะนำมาสู่ผลกระทบและความสูญเสียอย่างมหาศาล ที่มีอาจมีผลกระทบที่ไม่อาจประมาณได้ต่อคนไทยในรุ่นต่อไป และยากยิ่งที่จะเยียวยาแก้ไขใช่หรือไม่
4.หากเห็นสอดคล้องกับผมว่า การปฏิรูปเป็นทางเลือก เป็นทางรอด และเป็นความหวังของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผมขอเรียกร้องให้คู่ขัดแย้ง ได้ให้โอกาสประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตช่วงนี้ไป โดยขอเสนอข้อพิจารณา 5ประการดังนี้
4.1 ขอให้เลื่อนการเลือกตั้ง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ออกไป เพื่อนำไปสู่ระยะเวลา ที่เพียงพอในการหารือถึงกรอบแนวทางที่ชัดเจน ที่จะทำให้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เป็นการเลือกตั้งที่นำไปสู่การปฏิรูปอย่างแท้จริง การเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้งในครั้งนี้ มิได้มองในประเด็นปัญหาอุปสรรค ที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นและนำไปสู่ความสมบูรณ์ของสภาผู้แทนราษฎร และความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามที่กกต. ได้นำเสนอเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึงเป้าหมายหลักว่า การเลือกตั้งจะนำไปสู่การปฏิรูป อันจะเป็นหนทางที่ทำให้ประเทศก้าวพ้นจากความขัดแย้ง อันเป็นความต้องการร่วมกันของทุกฝ่ายหรือไม่ หากพิจารณาในแง่นี้ น่าจะมีความจำเป็นที่จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน เพื่อให้มีเวลาเพียงพอที่คู่ขัดแย้งจะได้ร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” เพื่อนำมาสู่การยอมรับในกรอบแนวทางการปฏิรูป และหลักประกันที่จะทำให้การปฏิรูปเกิดได้จริง หลังการเลือกตั้งร่วมกัน
4.2 การเลื่อนการเลือกตั้งในมุมมองดังกล่าว ต้องนำมาสู่ข้อตกลงที่ทุกฝ่ายจะเข้าร่วมหารือกันใน “เวทีกลาง” ทุกฝ่ายในที่นี้ ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ กปปส. พรรคเพื่อไทย รัฐบาล นปช. พรรคการเมืองอื่น ๆ ผู้เกี่ยวข้องที่เหมาะสม เช่น กลุ่มเครือข่ายปฏิรูป ตัวแทน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ได้มาหารือร่วมกันถึงกรอบกว้าง ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดตั้ง “คณะกรรมการ” หรือ “คณะทำงาน” ที่ได้รับการยอมรับ ที่มีหน้าที่ในการไปทำ Roadmap ที่ชัดเจนเรื่องการปฏิรูป ได้แก่ รูปแบบขององค์กร สถานะทางกฎหมายที่เป็นหลักประกัน ประเด็นการปฏิรูป และการทำให้มีผลผูกพัน การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของประเด็น รูปแบบของรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปหลังการเลือกตั้ง เป็นต้น
การดำเนินการในแนวทางนี้ องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญที่สุดของความความสำเร็จ ในทัศนะของผมก็คือ การสร้างหลักประกันเพียงพอ ที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่อีกพรรคหนึ่ง เข้ามาร่วมการเลือกตั้งในครั้งนี้ และกปปส.ยอมยุติในการรวมพลังชั่วคราว แล้วปรับยุทธศาสตร์ไปสู่การสร้างมวลชนในการติดตามเฝ้าดูว่า การปฏิรูปซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการร่วมกันของทุกคนเกิดขึ้นจริงหรือไม่
สำหรับประเด็นว่า ใครควรจะเป็นเวทีกลางนั้น อาจมีได้หลายแนวทาง แต่ต้องนำมาสู่การยอมรับร่วมกัน เช่นอาจริเริ่มโดยกกต.เป็นเจ้าภาพ เชิญคู่ขัดแย้งและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เช่น องค์กรที่มีผลงานด้านปฏิรูปเป็นที่ประจักษ์ ตัวแทนภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคราชการ เป็นต้น
4.3 หากทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า สมควรเลื่อนการเลือกตั้งออกไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง การเลื่อนการเลือกตั้ง มีวิธีที่สามารถดำเนินการได้ตามกรอบของกฎหมาย ขณะนี้มีการให้ความสำคัญ กับประเด็นเชิงเทคนิคกฎหมายเป็นอย่างมาก จนบางครั้งทำให้เป้าหมายใหญ่ คือการหาทางออกร่วมกันให้ประเทศ ถูกบดบังด้วยความเห็นทางกฎหมายที่ไม่ยืดหยุ่นอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่าความขัดแย้งที่ผ่านมา และบทบาทการตรวจสอบจากองค์กรต่าง ๆ ได้ทำให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และตัดสินใจในเชิงที่เสี่ยงน้อยที่สุด เพราะเกรงว่าการตัดสินใจทางกฎหมายที่ผิดพลาด อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง และผลกระทบทางการเมืองที่ตามมา จะเห็นว่าทางรัฐบาลเอง ก็มีผู้ให้สัมภาษณ์โดยตลอดว่า อำนาจในการตัดสินใจว่า ควรดำเนินการอย่างไรเป็นของ กกต.เพราะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ ในขณะที่กกต.ก็เสนอข้อมูลมาให้รัฐบาลพิจารณาตัดสินใจ โดยมองว่ารัฐบาลเป็นผู้นำพระราชกฤษฎีกาขึ้นกราบบังคมทูลและรับสนองพระบรมราชโองการ
ซึ่งอันที่จริงตัวอย่างในอดีต เคยมีการนำพระราชกฤษฎีกา เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ขึ้นกราบบังคมทูลมาแล้ว แม้รายละเอียดจะไม่ตรงกันทีเดียว นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 214 ก็ได้กำหนดช่องทางออกไว้ว่า ในกรณีที่มี “ความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่” ระหว่างหน่วยงาน เช่น รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้สามารถเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้ ในกรณีนี้หากรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี มีความเห็นอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจหน้าที่ในเรื่องนี้ ก็น่าจะเข้าลักษณะเกิดความขัดแย้ง ในเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับกกต. ทางกกต.ก็น่าจะสามารถนำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้
4.4 การกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ควรกำหนดกรอบเวลาประมาณ 90 ถึง 180 วัน นับจากกำหนดวันเลือกตั้งเดิม คือเร็วที่สุดที่จะสามารถหารือกัน เพื่อกำหนดองค์กรเพื่อการปฏิรูป ที่มีรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับ กำหนดประเด็นหลัก ๆ ของการปฏิรูป พร้อมทั้งกรอบเวลาที่ชัดเจน กำหนดแนวทางและวิธีการ ที่จะทำให้ข้อเสนอการปฏิรูปผูกพันและเกิดขึ้นจริง กำหนดรูปแบบของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ที่ต้องเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อการปฏิรูป และมีอายุเท่าที่จำเป็น เพื่อทำหน้าที่นั้น โดยพรรคการเมืองทุกพรรค ต้องตกลงร่วมกันก่อนการเลือกตั้ง เป็นต้น
ในการคิดถึงระยะเวลาที่เหมาะสม อาจต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่เพียงพอ ให้การทำประชามติถ้าจำเป็นคือกรอบเวลา 90 วันไว้ด้วย เพราะหากมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงกันได้ หรือมีประเด็นสำคัญที่ต้องการสอบถามความเห็นประชาชน ก็สามารถใช้ช่วงเวลาของการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นใหม่ เป็นโอกาสในการสอบถามประชาชนโดยประชามติในคราวเดียวกันเลย
4.5 ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงให้ครบถ้วน คือเรื่องบทบาทของรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง เพราะในท่ามกลางความขัดแย้ง ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า รัฐบาลเป็นฝ่ายหนึ่งของคู่ขัดแย้ง รัฐบาลจึงต้องตระหนักว่า การคงอยู่ในบทบาทของรัฐบาลรักษาการ ย่อมนำมาสู่ความไม่ไว้วางใจของคู่ขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการพิจารณาถึงการ “เลือกตั้ง” และ “การปฏิรูป” ซึ่งเป็นเรื่องของกรอบในอนาคต ซึ่งต่างฝ่ายต่างเป็นคู่แข่ง คู่ขัดแย้ง และมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง รัฐบาลจึงต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะลดความไม่ไว้วางใจดังกล่าวนี้ ในสถานการณ์ของความขัดแย้ง การดำเนินการที่นำไปสู่การสร้างความไว้วางใจ และลดความขัดแย้ง หากรัฐบาลสามารถโอนอ่อนได้มากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการโดยด่วน คือเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเจ้าภาพการปฏิรูป ไปสู่บทบาทของหนึ่งในผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) โดยปล่อยให้การกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการ และทิศทางการปฏิรูปเป็นเรื่องของเวทีกลางที่จะเกิดขึ้น
5.เมื่อมีโอกาสได้คุยกับเพื่อน ๆ ชาวต่างประเทศ ถึงเรื่องปรากฏการณ์ประเทศไทย ผมจะพยายามเล่าให้ฟังเสมอว่า การประท้วงบนท้องถนน และแสดงความเห็นทางการเมืองของประเทศไทยนั้น อาจจะแตกต่างจากที่เขาเข้าใจ โดยมองเปรียบเทียบ จากตัวอย่างในประเทศกำลังพัฒนาที่เขาเห็น ในความเห็นของผมขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดที่กำลังจะก้าวไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยในระดับที่สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เรากำลังจะก้าวพ้นการเป็นประเทศประชาธิปไตยโดยรูปแบบ สู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ เพราะหัวใจของระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบของรัฐบาลหรือรัฐสภา ที่ย่อมสามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสม แต่อยู่ที่คุณภาพของประชาชนในประเทศนั้นว่า มีความเข้าใจ ความรัก และความหวงแหนในประชาธิปไตยแค่ไหน
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะได้สร้างผลกระทบและความเสียหายมากมาย แต่ในแง่หนึ่ง ก็ได้ปลุกจิตสำนึกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั่วไประเทศ และด้วยคุณภาพของประชาชนคนไทย ที่ได้เปลี่ยนสถานภาพของตนเองมาสู่ความเป็น “พลเมือง” ที่เป็น “พลังของบ้านเมือง” จุดสุดท้ายที่เราจะทำให้ ปรากฎการณ์ของประเทศไทย ที่เริ่มต้นมายาวนานเกือบทศวรรษจบได้อย่างสวยงาม เป็นตัวอย่างแก่ประเทศที่กำลังพัฒนาประชาธิปไตยทั่วโลก คือจะทำอย่างไร ที่จะพัฒนาพลังแห่งความขัดแย้ง ความเกลียดชัง เป็นพลังสร้างสรรค์ที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากความขัดแย้งและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ