นิติราษฎร์ชี้คำวินิจฉัยศาลรธน.ผิดนิติรัฐ ร่างแก้ไขรธน.ยังรอลงพระปรมาภิไธย

ประชาไท 23 พ.ย. 2556 | อ่านแล้ว 1488 ครั้ง

ช่วยเสียงข้างน้อยทำลายเจตนารมณ์ของเสียงข้างมาก

เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มนิติราษฎร์จัดแถลงข่าววิพากษ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. ที่มีคำวินิจฉัยไปเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แถลงว่า นิติราษฎร์เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความผิดพลาดร้ายแรงในแง่ของเขตอำนาจของศาล ตลอดจนความบกพร่องในการวินิจฉัย ซึ่งศาลชี้ว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีความบกพร่องทั้งในแง่เทคนิค คือ เนื่องจากมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน รวมถึงกรณีความบกพร่องทางเนื้อหา

สำหรับเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ดร.วรเจตน์ชี้ว่า นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่ถ้าทำให้เกิดความเข้าใจถ่องแท้แล้ว ก็ไม่ต้องวิเคราะห์เรื่องอื่นต่อไปอีก

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวเอง ไม่ได้เกิดจากกฎหมายธรรมชาติ หรือเทศบัญญัติหรือกฎหมายอื่นใด ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญก็ไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญก่อตั้งศาลขึ้นมา ก็กำหนดอำนาจหน้าที่ขึ้นมา

บุคคลที่ทรงอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือรัฐสภา เวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญจะทำงานหรือตัดสินคดีไม่สามารถตัดสินคดีได้ตามอำเภอใจ เช่น มีคนฆ่าคนตาย ฝ่ายของคนที่ถูกฆ่าตายก็ไปร้องให้ศาลวินิจฉัยโดยเชื่อว่าศาลจะทรงความยุติธรรมเหนือกว่าศาลอื่นใด ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรับตัดสินก็ไม่มีผลทางกฎหมาย

ศาลมีเขตอำนาจจำกัดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และการดูเรื่องขอบเขตอำนาจเป็นเรื่องต้องทำก่อนการวินิจฉัยคดี

สิ่งที่ทำเมื่อวันที่ 20 พ.ย.คือ ศาลไม่ได้วินิจฉัยว่า ตัวเองมีอำนาจวินิจฉัย แต่ไปอ้างหลักการเสียงข้างน้อยมาใช้ ฟังดูอาจจะเคลิ้มแต่ถ้าเราคิดและตรึกตรองดูให้ดีแล้วจะพบว่า การอ้างหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยมีความคลาดเคลื่อนหลายประการ

นิติราษฎร์เห็นว่า สาระสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย คือเสียงของประชาชน และประชาชนนั้นมีจำนานมาก และมีความคิดความเห็นต่างกัน หากต้องหาเจตจำนงของประชาชนให้ยุติโดยความเห็นพ้องอย่างเอกฉันท์นั้นเป็นไปไม่ได้ จึงต้องใช้หลักเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องมีหลักการคุ้มครองเสียงข้างน้อยเพื่อให้ข้อยุติจากเสียงข้างมาก เป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่การคุ้มครองเสียงข้างน้อย ไม่ใช่การยอมทำตามเสียงข้างน้อย แต่เปิดโอกาสให้เสียงข้างน้อย ได้แสดงความเห็น เพื่อโน้มน้าวให้เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย เพื่อจะเป็นเสียงข้างมากในวันหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทั้ง ๆ ที่เป็นหลักการที่สำคัญ

ศาลของรัฐธรรมนูญไม่ได้มีหน้าที่ในการทำให้เสียงข้างน้อยบรรลุเป้าหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ผู้แทนของเสียงข้างน้อย ผู้แทนของเสียงข้างน้อยคือฝ่ายค้านในสภา แต่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนกลางที่ทำหน้าที่วินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญสรุปลงอย่างง่ายๆ ว่า เสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืน แต่ไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ ที่สนับสนุนว่าเสียงข้างน้อยในประเทศนี้ไม่มีที่อยู่ที่ยืนอย่างไร ไม่มีที่บอกว่า ทุกวันนี้ไม่มีกลไกการตรวจสอบเสียงข้างมาก ตราบที่มีศาลรัฐธรรมนูญมันยังมีกลไกตรวจสอบ ยังมีมติสาธารณะ มีคอลัมนิสต์มีการแสดงความเห็น ที่ทำให้เห็นว่าเสียงข้างน้อยมีที่อยู่ที่ยืน

สำหรับการแก้ไขที่มา ส.ว.เสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมาก ที่ลงคะแนนไปแล้ว ก็ควรจะไปรณรงค์ใช้เหตุผลโน้มน้าวใจคนอื่นให้เห็นด้วย ไม่ใช่การบังคับข่มขืนใจคนอื่นให้เห็นด้วยได้

ศาลรัฐธรรมนูญสมควรต้องตระหนักและสำนึกว่า การออกแบบโครงสร้างการเมืองว่าควรอย่างไร เป็นเรื่องของประชาชน และองค์กรทางการเมืองคือรัฐสภา เพราะบุคคลเหล่านี้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ไม่ใช่หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมาบอกว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่เป็นหน้าที่ของประชาชนร่วมกับองค์กรทางการเมือง

ศาลรัฐธรรมนูญได้อ้างหลักนิติธรรมขึ้นในหลายแห่งของคำวินิจฉัย ฟังดูดี แต่พอดูรายละเอียดจะพบว่าเป็นการอ้างที่เลื่อนลอย การอ้างอย่างนี้โดยผลของคำวินิจฉัยนี้ก็คือ การควบคุมขัดขวางเสียงข้างมาก เพื่อให้ความต้องการของเสียงข้างน้อยบรรลุผล การทำอย่างนี้สุดท้ายเป็นการช่วยให้เสียงข้างน้อยทำลายเจตนารมณ์ของเสียงข้างมาก และทำให้เสียงข้างมากต่างหากที่ไม่มีที่อยู่ที่ยืน เป็นการสนับสนุนเผด็จการเสียงข้างน้อยในที่สุด

ตัดสินไม่มีผลทางกฎหมาย

ดร.วรเจตน์กล่าวว่า อารัมภบทที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดมายืดยาว ไม่เข้าข้อกฎหมาย เมื่อพิจารณาตามมาตรา 68 ทุกคนก็เห็นว่า ไม่ค่อยมีที่ใช้โดยปกติ เว้นแต่ปัจเจกบุคคลหรือพรรคการเมืองกระทำการเข้าองค์ประกอบ ซึ่งไม่ใช่กรณีที่เกิดขึ้น

ตัวบทของมาตรา 68 พูดเรื่อง “สิทธิเสรีภาพ” ว่าบุคคลจะใช้สิทธิเสรีภาพไปในทางล้มล้างการปกครองหรือให้ได้มาซึ่งอำนาจอันไม่เป็นไปถามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ได้  จะไปแปลว่าเป็นเรื่อง "อำนาจ" ได้อย่างไร เรื่องทีเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบุคคลหรือพรรคการเมืองด้วย แต่เป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภาที่มีอำนาจ  แต่คำวินิจฉัยของศาลนั้นปะปนกันไปหมดระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการใช้อำนาจหน้าที่ และนักกฎหมายหลายคนก็ออกมาพูดว่าสิทธิเสรีภาพก็คืออำนาจ

“เดี๋ยวนี้คนเขามีสติปัญญาที่จะคิดได้ว่าที่คุณพูดมามันมั่ว”

นอกจากนี้ดร.วรเจตน์ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในคำวินิจฉัยนั้นศาลอ้างเรื่องการไปตรวจสอบถ่วงดุลองค์กรอื่นๆ แต่กลับไม่มีการถ่วงดุลตัวเอง

“ศาลถ่วงดุลคนอื่นหมดเลย แล้วใครถ่วงดุลท่าน” ดร.วรเจตน์ตั้งคำถาม

คนที่ไม่ทำตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แน่ ๆ ก็คือศาลรัฐธรรมนูญเอง เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ไปยื่นเรื่องที่อัยการสูงสุดก่อน เพื่อกลั่นกรอง แต่นี่เสียงข้างน้อยที่โหวตแพ้ไปยื่นเรื่องต่อศาลรับธรรมนูญโดยตรงและศาลก็รับไว้พิจารณา เป็นการไม่เคารพขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่จำเป็นต้องเรียนกฎหมายก็รู้

ผลของการวินิจฉัยมาตรา 68 เป็นการสถาปนาอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเอง ตีความอย่างกว้างขวาง ไม่ชอบด้วยหลักการตรวจสอบถ่วงดุล และไม่ชอบด้วยหลักการจัดโครงสร้างรัฐ ถ้าปล่อยให้การตีความมาตรา 68 ของศาลรัฐธรรมเป็นแบบนี้ก็เป็นการปล่อยให้เขตอำนาจขยายไปเรื่อย เชื่อว่าจะมีคนมาร้องศาลรัฐธรรมนูญตลอดเวลา เพราะมีคนพร้อมจะทำเช่นนั้นอยู่แล้วในทุกเรื่อง ศาลจะมีอำนาจในการรับคดีต่าง ๆ มาพิจารณาคดีเต็มไปหมด กลายเป็น "ซูเปอร์องค์กร" เป็นองค์กรที่อยู่เหนือองค์กรทั้งปวง และศาลนั้นแม้จะเกิดจากรัฐธรรมนูญ แต่โดยผลของการใช้กฎหมายแบบนี้ จะกลับเป็นคนที่ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญเอง มันจะเกิดสภาพวิปลาส ผิดเพี้ยนไปหมด มีผลรุนแรงทำลายหลักนิติรัฐและประชาธิปไตยลง ส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด โดยความร้ายแรงแบบนี้เองที่ทำให้เราต้องยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้เสียเปล่าและไม่มีผลทางกฎหมาย

เวลาจะล้มเรื่องใหญ่ๆ มักอ้างกระบวนการไม่ชอบ

ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยข้อบกพร่องในกระบวนการ โดยอธิบายว่า เวลาเขียนตอบข้อสอบกฎหมาย ต้องเอาประเด็นมาวาง เอาหลักกฎหมายมาวางแล้วเอาข้อเท็จจริงมาวินิจฉัย แล้วปรับใช้ แต่จากคำวินิจฉัยของศาลนั้นไม่ใช่การอ้างหลักกฎหมาย เป็นการพรรณนาความไปเรื่อยๆ แล้วพอจะลากเข้าหาเขตอำนาจ ก็ไปอ้างเอาหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรค 2 ของรธน.เพื่อจะบอกว่ากำลังทำตามรัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งจริง ๆ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกองค์กรทำไปตามหลักนิติธรรมซึ่งต้องรวมตัวศาลรัฐธรรมนูญด้วย

            “ท่านเทศนา สั่งสอนประณามฝ่ายการเมืองลงไปในคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษา แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะเอามาตัดสินคดี ในระบบกฎหมายเขียนแบบนี้ไม่ได้ ไม่ใช่การใช้เหตุผลในทางกฎหมาย”

องค์คณะมีปัญหา

ประเด็นองค์คณะ นิติราษฎร์ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยว่าศาลมีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้ และเมื่อมาพิจารณาในแง่องค์คณะ เวลาที่รับคำร้อง ไม่มีนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งและโปรดเกล้าฯ ภายหลัง แต่ท้ายสุดกลับมาลงคะแนนเสียง ในการวินิจฉัย ซึ่งตามหลักแล้วทำไม่ได้ สาระสำคัญของเรื่องนี้คือ คู่ความต้องรู้ล่วงหน้าว่าใครจะมีตัดสินคดีเขา ถ้าไม่ไว้วางใจ คู่กรณีจะได้มีโอกาสในการร้องคัดค้านองค์คณะ

ประเด็นต่อมาคือ ถ้าองค์คณะรับฟ้องมี 7 คนแล้วมาตัดสิน 9 คน ถ้ามีการเปิดโอกาสแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะเปิดโอกาสให้เติม-ลดองค์คณะได้เรื่อยๆ  ซึ่งมีผลต่อการนับเสียงในการวินิจฉัย โดยดร.ปิยบุตรย้ำว่า องค์คณะที่รับเรื่อง ไปจนตัดสินวินิจฉัย ต้องเป็นองค์คณะเดิมเป็นจำนวนเดิม และเป็นคนเดียวกัน เว้นแต่กรณีตาย หรือถูกร้องค้าน

ประเด็นถัดมา องค์คณะต้องเป็นกลางและปราศจากอคติ แต่ทัศนคติของนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งได้เคยแสดงความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อย่างยิ่ง ต่อการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาแบบเลือกตั้งแล้วในอดีต ในการอภิปรายเรื่องส.ว.สรรหา ในสสร.50 หากให้นายจรัญวินิจฉัยคดีนี้ ก็ชัดเจนว่า เขาจะไม่สนับสนุน ส.ว. เลือกตั้ง ดร.ปิยบุตรเห็นว่า นี่เป็นกรณีที่นายจรัญต้องถอนตัว

ทำไมเราต้องใส่ใจคำวินิจฉัยนี้ คำตอบคือ เพราะศาลได้อ่านออกสาธารณะ จนทำให้สาธารณชนได้เข้าใจว่าเรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง เพราะสภาก็ทำผิดจริง แม้ว่าศาลจะไม่มีอำนาจ ดร.ปิยบุตรโต้แย้งว่ากระบวนการต่าง ๆ ที่ศาลวินิจฉัยว่าไม่ชอบนั้น ไม่จริงเลย ทั้งประเด็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมเป็นคนละร่างกับร่างฯ ที่เสนอ ประเด็นการนับวันในการเสนอคำแปรญัตติซึ่งศาลเห็นว่าให้เวลาฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเสนอคำแปรญัตติแค่ 1วัน ซึ่งน้อยเกินไป รวมไปถึงประเด็นการเสียบบัตรแทนกัน

กระบวนการไม่ชอบจริงหรือ

ประเด็นแรก เรื่องร่างฯ วันที่ยื่นกับร่างฯ วันที่แก้ เป็นคนละร่างฯ กันนั้นเป็นความจริง แต่ไม่ส่งผลเสียหายใดๆ ตามกระบวนการขั้นตอนเพราะวันที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติม ก็ให้โอกาสในการพิจารณาร่างฯ ฉบับที่มีการแก้ไขในวันนั้นเหมือนๆ กัน สมาชิกรัฐสภาทุกท่านที่ได้รับแจกร่างฯ ที่มีการแก้ไขแล้วทั้งหมด นี่ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะส่งผลร้ายถึงกับจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้มีความบกพร่อง

ประเด็นนับวันเสนอการแปรญัตติ ที่ศาลเห็นว่าเหลือเวลา 1 วันเท่านั้นศาลชี้ว่าขัดข้อบังคับ ปรากฏว่าข้อบังคับการประชุมรัฐสภา 2553 ข้อ 96 กำหนดให้แปรญัตติภายใน 15 วัน นับจากวันรับหลักการในวาระ 1 เว้นแต่รัฐสภาเห็นเป็นอย่างอื่น ซึ่งต้องลงมติว่าจะเปลี่ยนจาก 15 เป็นกี่วัน ข้อเท็จจริงคือประธานรัฐสภาถาม ก็มีคนเสนอขอ 60 วัน แต่ปรากฏว่าเมื่อจะโหวตองค์ประชุมกลับไม่ครบ จึงกลับไปสู่หลักเดิมคือ 15 วัน

            “ปัญหาคือ 14 วันก่อนหน้านั้น ทำไมท่านไม่มาเสนอคำแปรญัตติ พอมาเหลือ 1 วัน ท่านมาขอขยายเวลาเป็น 60 วัน”

ความร้ายแรงของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่อ้างว่าการนับเวลาย้อนหลังไป จะทำให้เหลือเวลาแปรญัตติเพียง 1 วัน ขัดข้อบังคับการประชุมและขัดกับหลักนิติธรรม แต่กลับไม่มีข้อบังคับข้อไหนเลย ที่ศาลจะนำมาอ้าง เพราะไม่มีข้อบังคับไหนกำหนดให้นับวันแบบศาลรัฐธรรมนูญบอก หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นนี้โดยไม่มีกฎหมาย คนที่เป็นศาลจะต้องตัดสินคดีด้วยความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย ไม่ใช่ตัดสินตามความรู้สึก ไม่ใช่สร้างกฎหมายขึ้นมาเอง โดยเขายกเอารธน. มาตรา 197 มาอ้าง

ประเด็นต่อมาคือ การตัดไม่ให้สมาชิกอภิปรายในวาระ 2 ซึ่งมีคนแปรญัตติ 57 คน ถูกตัดสิทธิอภิปรายเพราะทำผิดข้อบังคับเนื่องจากเหลือวันอภิปรายเพียง 1 วัน แต่ศาลได้วินิจฉัยว่าเป็นการกลั่นแกล้ง ปิยบุตรชี้ว่าประเด็นนี้ศาลได้ทิ้งเชื้อไว้ ทำให้กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศไทยมีปัญหาในอนาคต ต่อไปกฎหมายฉบับที่สำคัญ ๆ พรรคฝ่ายค้านจะขอแปรญัตติเป็นร้อย ๆ คน เมื่อใกล้กำหนดเวลา และหากจะโดนตัดสิทธิอภิปรายก็จะหยิบยกคำวินิจฉัยนี้ขึ้นมาอ้าง

ประเด็นต่อมาคือเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน ศาลมีอำนาจในการไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงได้ด้วยตนเองตามคำร้อง มีการเสียบบัตร 8 ใบ ต่อให้จริง มติเห็นชอบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น กระทบกระเทือนหรือไม่ ข้อเท็จจริงคือมันไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อการลงมติตอนจบ จะเอาเรื่องเสียบบัตรแทนมาล้มมติไม่ได้ และถ้ามีการเสียบบัตรแทนกันจริง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้องก็ต้องไปลงโทษคนที่เสียบบัตรแทนกัน ไม่ใช่มาล้มร่างฯ ฉบับนี้ เพราะถ้าจะใช้วิธีนี้ก็จะเกิดการกลั่นแกล้งกันต่อไป เช่น ต่อไปฝ่ายข้างน้อยก็อาจจะใช้การเสียบบัตรแทนกัน เพื่อทำลายมติในตอนหลัง อย่างไรก็ตาม หากประเด็นเสียบบัตรแทนจะมีผลล้มมติ ต้องเป็นการเสียบบัตรจำนวนมาก ๆ ต่างกับกรณีนายทวีเกียรติ เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีองค์คณะจำนวนน้อย

            “เวลาศาลจะล้มเรื่องใหญ่ๆ ศาลจะใช้เรื่องกระบวนการ” ดร.ปิยบุตรตั้งข้อสังเกต โดยยกกรณีการเพิกถอนการเลือกตั้งเพราะหันคูหาออก ซึ่งดร.ปิยบัตรชี้ว่า กระบวนการนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดได้ในการทำงาน หากจะมีผลต่อผลลัพธ์ ต้องเป็นกรณีที่หากบกพร่องแล้วผลลัพธ์จะเปลี่ยน

ชี้นำการกำหนดโครงสร้างทางการเมือง ไม่ใช่หน้าที่ของศาล

ด้าน ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา วิจารณ์ในส่วนของคำวินิจฉัยของศาลในเนื้อหาของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยศาลชี้ว่า จะทำให้เกิดการไม่สมดุล เป็นสภาญาติพี่น้อง สภาครอบครัวหรือสภาผัวเมีย ทำให้สูญสิ้นสถานะและศักยภาพแห่งการเป็นสติปัญญา ให้กับสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทำลายสาระสำคัญของการมีสองสภา

ศาลเข้ามาใช้อำนาจชี้นำการกำหนดโครงสร้างทางการเมือง เป็นกรณีที่ศาลกระทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของศาลและการมีวุฒิสภาในประเทศอื่นในโลกที่เป็นประชาธิปไตยก็ล้วนมาจากการเลือกตั้งการที่ศาลอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย

ส่วนการมีเจตจำนงให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งเป็นการถาวรตลอดไปก็ต้องเขียนไวในรัฐธรรมนูญมาตรา 291

นายปิยบุตรกล่าวเสริมว่า การพยายามมาแตะเรื่องเนื้อหาเพราะว่าการแก้ไขส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อวางหลักไว้ว่าจะไม่มีใครสามารถมาเสนอเรื่องแบบนี้ได้อีกแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญกำลังขยายแดนของบทบัญญัติที่ห้ามแก้ไขออกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ตามรัฐธรรมนูญมีแค่ 2 เรื่องเท่านั้นที่แก้ไม่ได้ คือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรื่องรูปของรัฐ

ถ้าเห็นด้วยกับ ส.ว. แต่งตั้งก็ไปร่วมรณรงค์กับเสียงข้างน้อยเพื่อโน้มน้าวให้เสียงข้างมากเห็นด้วย ไม่ใช่เอาทัศนคติตัวเองไปลงไว้ในคำวินิจฉัย ซึ่งดร.ปิยบุตรย้ำอีกครั้งว่า ส.ว. แต่งตั้งเป็นมรดกตกทอดจากการรัฐประหาร

ถ้ายอมรับคำวินิจฉัย ต้องอยู่กับ รธน.2550 ชั่วกัลปาวสาน

ดร.วรเจตน์ ปิดท้ายการแถลงข่าวโดยสรุปว่า หลังจากนี้อาจจะมีข้อโต้แย้งว่า แม้คำวินิจฉัยจะมีปัญหาร้ายแรงตามที่วิพากษ์วิจารณ์มา แต่หากไม่ทำตาม ไม่ยอมรับ บ้านเมืองก็ไม่มีขื่อไม่มีแป จะทำอย่างไรกันต่อไป

            “เราจะยอมถูกกดขี่ โดยคำวินิจฉัยไปชั่วกัลปาวสานหรือ นี่มันไม่ใช่หลักนิติธรรม ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย” ดร.วรเจตน์กล่าวพร้อมระบุว่า อาจมีคนอ้างมาตรา 206 วรรค 5 ว่า ผลการวินิจฉัยของศาลรธน. ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร แต่ดร.วรเจตน์เห็นว่า กรณีนี้โมฆะ เนื่องจากคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะมีผลเป็นเด็ดขาดไม่ได้ เพราะเป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม และไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญเอง ในทางกฎหมายต้องถือเป็นโมฆะ บังคับองค์กรของรัฐไม่ได้ แต่ถามว่าจะเกิดวิกฤตไหม เกิดวิกฤตแน่นอน

ในส่วนของผลทางกฎหมาย คำวินิจฉัยนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำอะไร ระหว่างนี้มีคนบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญ นี้ตกไปแล้ว แต่ถามว่าตกไปจากไหน ตอบไม่ได้ กระบวนการขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ซึ่งในคำวินิจฉัยของศาลก็ไม่ได้บอกว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ตกไป เพราะเขาไม่มีอำนาจจะบอกได้ ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการรอลงพระปรมาภิไธย จะสั่งพระมหากษัตริย์ให้ไม่ให้ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ไม่ได้ มาตรา 68 ก็ไม่ได้ให้อำนาจไว้ เป็นการชี้ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยไม่มีอำนาจ

ดังนั้นขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ และหากพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ก็นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถ้าไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย ก็ถือว่าทรงใช้พระราชอำนาจวีโต้ สภาก็ต้องมาปรึกษากัน ถ้าลงมติยืนยันไม่ถึง 2 ใน 3 ก็ตกไป แต่ถ้าลงคะแนนถึง 2 ใน 3 ก็ต้องยืนยันทูลเกล้าฯ อีกครั้ง และครั้งนี้หากพ้น 60 วัน ก็ประกาศเป็นกฎหมายต่อไปได้

“ไม่มีหลักกฎหมายที่บอกให้นายกฯ ถอนร่างฯ ดังกล่าวออกหลังจากที่ทูลเกล้าฯ ไปแล้ว”

ผลทางการเมืองของคำวินิจฉัย ปัญหาตอนนี้ถ้าองค์กรที่เกี่ยวข้องหงอ ยอม เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายของบ้านเมือง ผลคือสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย กระทบกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ รัฐสภาจะไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนได้อีก และจะต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 ไปตลอดกัลปาวสาน และศาลรัฐธรรมนูญก็จะเป็นองค์กรที่ีอำนาจสูงสุด ประเทศไทยกลายเป็นรัฐตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถ้ายังคงยอมรับผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เขาชี้ว่าคำวินิจฉัยนี้ไม่มีผลในทางแก้วิกฤตความขัดแย้ง ระหว่างเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อย ซ้ำยังสร้างวิกฤตของหลักนิติรัฐด้วย

ดร.วรเจตน์ชี้ว่า หลังจากนี้สภาต้องประชุมกันลงมติว่า คำวินิจฉัยนี้ไม่มีผลผูกพันสภา จึงจะเป็นทางออกได้ บีบให้เกิดการปะทะกันของขั้วทางสังคม และหากมีปัญหาต่อไปภายภาคหน้า ศาลรัฐธรรมนูญต้องรับผิดชอบต่อคำวินิจฉัยวันที่ 20 พ.ย.2556

            “ผมพูดจากใจให้รัฐบาลไทยไปให้สัตยาบันในอนุสัญญาศาลอาญาระหว่างประเทศได้แล้ว เพราะถ้าวันข้างหน้าการพูดจากัน ทำไม่ได้อีกแล้วในสังคมนี้ อย่างน้อยการใช้กำลังทหารมาทำความรุนแรงกับประชาชนจะได้ไปในระดับระหว่างประเทศ คนที่จะเอาทหารออกมาจะได้คิด แล้วนี่น่าจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำในระยะเวลาอันไม่ช้าไม่นานมานี้" ดร.วรเจตน์กล่าว

 

ขอบคุณข่าวและภาพจากประชาไท

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: