ท่ามกลางวิกฤติการณ์ของปัญหาจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านคนตัวเล็ก ๆ ที่หาเช้ากินค่ำ ปรากฏว่า ในพื้นที่ภาคอีสานยังซ้ำเติมด้วยปัญหาและการละเมิดสิทธิ จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของบริษัทเอกชน ซึ่งกำลังดำเนินการในพื้นที่เรือกสวนไร่นา โดยที่ชาวบ้านจะต้องเป็นผู้เสียสละ เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้มีพลังงานใช้ (ผู้ประกอบการได้กำไรมหาศาล) ขณะที่พวกเขาต้องประสบกับปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะตามมา อีกทั้งยังต้องแบกรับราคาก๊าซหรือน้ำมันที่ปรับขึ้นเหมือนกับคนทั่วไปด้วย
จากข้อมูลในพื้นที่จ.กาฬสินธุ์ พบว่า โครงการริเริ่มตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งบริษัทเอกชน ได้รับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เลขที่ 9/2546/66 ในหลุมสำรวจ L 27/43 มีพื้นที่ 983.06 ตารางกิโลเมตร โดยมีหลุมผลิตอยู่ที่ ดงมูล บ้านนาคำน้อย ต.หนองใหญ่ อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งได้เจาะสำรวจแล้ว พบปิโตรเลียมที่สามารถพัฒนาได้ และในพื้นที่อ.ท่าคันโทอีก 3 แห่ง โดยจะมีการพัฒนาปิโตรเลียมและขนส่งก๊าซได้ในปี 2558-2577 รวม 20 ปี
โครงการเป็นของบริษัท อพิโก้ (โคราช) จำกัด ผู้ได้รับอนุญาตจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ให้เข้าไปพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่ดังกล่าว โดยบริษัทฯ วางแผนที่จะผลิตก๊าซธรรมชาติวันละ 24 ล้านลูกบาศก์ฟุต (จากปริมาณสำรองที่คาดว่าจะมีในหลุมดังกล่าว มากถึง 9.6 หมื่นล้านลูกบาศก์ฟุต) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาถึง 11 ปี ในการผลิตก๊าซจากหลุมนี้ โดยจะลำเลียงก๊าซผ่านท่อ เพื่อมาแยกก๊าซที่โรงแยกก๊าซ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น รวมระยะทาง 52 กิโลเมตร
แต่ทว่าในหลายพื้นที่ที่มีการขุดเจาะสำรวจ และทดลองเผาก๊าซ ได้ส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรของชาวบ้าน และมีการชดเชยค่าเสียหายที่ไม่เป็นธรรม “ในเบื้องต้นมีคนงาน 4-5คน เข้ามาสำรวจในพื้นที่ โดยเจ้าของที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน เพียงแต่กำนันประกาศบอกว่าที่ของใครมีหลักหมายให้จดหมายเลขมา และจะได้ค่าชดเชย นาข้าวเขาให้หลักละ 300บาท ไร่อ้อยหลักละ 600 บาท ซึ่งมันไม่คุ้มกับความเสียหายที่เขาลงไปเหยียบย่ำทำลายเลย” นายสุวิทย์ บุตรจันดา ชาวบ้านหนองแซง ต.นาตาล อ.ท่าคันโท เปิดเผย ขณะที่ในนาข้าวและไร่อ้อยของเขามีการสำรวจทั้งหมด 3 หลัก
นอกจากนี้ เพียงแค่การดำเนินการสำรวจขุดเจาะและทดลองเผาก๊าซ ก็เกิดประเด็นถกเถียงว่าทำให้พืชผลเกษตรของชาวบ้านเสียหาย ทั้งยางพาราไม่ให้น้ำยาง ปลาตาย ผลไม้ไม่ติดผล เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับนายสันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ นักวิชาการจากคณะวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ได้ให้ข้อมูลว่า “การเผาก๊าซธรรมชาติในลักษณะนี้มีโอกาสก่อให้เกิดสารมลพิษมากมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณและชนิดของสารที่มีอยู่ในก๊าซ เช่น ปรอท ซัลเฟอร์ ไนโตรเจน ซึ่งเมื่อเผาก็จะเกิดไนโตรเจนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารไฮโดรคาร์บอน หรืออื่น ๆ รวมถึงขึ้นอยู่กับทิศทางลมและความกดอากาศในช่วงนั้นๆ ด้วย”
ด้านคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน ภายใต้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นำโดย น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ลงพื้นที่โครงการขุดเจาะสำรวจ ผลิตปิโตรเลียมและวางท่อก๊าซธรรมชาติ ในจ.กาฬสินธุ์ และจ.ขอนแก่น วันที่ 3 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา โดยได้เข้าไปรับฟังปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่ ณ วัดศรีนวลทรายทอง บ้านทรายทอง หมู่ 5 ต.ทรายทอง อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ เพื่อตรวจสอบการอนุญาตขอใช้พื้นที่ “ป่าดงมูล” ว่าถูกต้องหรือไม่ ประเด็นเรื่องการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ผลกระทบที่เกิดจากการทดลองเผาก๊าซ แนววางท่อที่ชัดเจนที่จะผ่านพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ไม่ได้ดำเนินการอย่างทั่วถึงและปิดกั้นโอกาสแก่ประชาชนในการเข้าร่วมกระบวนการ
น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กล่าวว่า หน่วยงานที่ดำเนินการกำกับดูแลต้องคำนึงถึงความสอดคล้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐ ธรรมนูญฯ ที่ได้กำหนดไว้ในเรื่องสิทธิชุมชนมาตรา 66-67 เพราะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสมบุติของทุกคน เป็นหน้าที่ของทุกคนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน “การทำหน้าที่ของส่วนราชการที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนจึงต้องให้ความ สำคัญกับเรื่องดังกล่าว ต้องปกป้องคุ้มครองไม่ให้การดำเนินการของเอกชนไปละเมิดสิทธิในการทำมาหากิน และการเป็นอยู่ของประชาชน”
ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือ ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการเหล่านี้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ชุมชนต่างๆ ในพื้นที่จะต้องร่วมรับรู้ข้อมูลและมีส่วนต่อการตัดสินใจดังกล่าว เนื่องจากโครงการใหญ่ขนาดนี้และใช้เวลาในการดำเนินการที่ยาวนานแบบนี้อาจจะเปลี่ยนวิถีของชุมชนไปอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งผลกระทบด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งส่วนราชการที่รับผิดชอบก็บอกแต่เพียงว่าเกิดจากความแห้งแล้ง เชื้อรา ไม่น่าจะมาจากการทดลองเผาก๊าซ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการด่วนสรุปที่ไม่รอบคอบ ไม่ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นวิชาการ
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ