จี้ฟังความเห็นร่างเอฟทีเอ หวั่นพาณิชย์สร้างปัญหา

16 ม.ค. 2556 | อ่านแล้ว 1038 ครั้ง

 

ตามที่คณะรัฐมนตรีจะเสนอร่างกรอบเจรจาเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรป ให้รัฐสภาพิจารณาในวันที่ 22 มกราคม นี้ รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะทำงานเกี่ยวเนื่องด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า รู้สึกกังวลต่อท่าทีของกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่เปิดเผยร่างกรอบเจรจาฯ แม้จะผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2555 และยังไม่เคยนำไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกรงว่า กระทรวงพาณิชย์ จะสร้างปมปัญหาทางการเมืองแก่รัฐบาลในอนาคต

 

สภาที่ปรึกษาฯ เข้าใจดีว่า รัฐบาลต้องการที่จะเริ่มเปิดเจรจาเอฟทีเอกับอียูอย่างเร่งด่วน แต่การเจรจาเอฟทีเอเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ตามมาตรา 190  ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศ ต่างเห็นด้วยกับสภาที่ปรึกษาฯว่า รัฐบาลต้องมีการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) กรอบเจรจาฯ อย่างทั่วถึงก่อนเสนอให้รัฐสภา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากที่ผ่านมาร่างกรอบฯ นี้ ยังไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะหรือรับฟังความคิดเห็นเลย การจัดรับฟังความคิดเห็นในร่างกรอบฯ เพียง 1 ครั้ง ในส่วนกลางไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเสียเวลา แต่ถือเป็นข้อมูลที่พึงแนบให้รัฐสภาได้พิจารณา ในฐานะที่ปรึกษาของรัฐบาลตามกฎหมายค่อนข้างกังวลกับท่าทีของกระทรวงพาณิชย์มาก

 

 

              “เมื่อวานนี้ (วันที่ 15 มกราคม) ในการประชุมพิจารณาร่างความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ กรมเจรจาฯ ยังมีท่าทีไม่เต็มใจที่จะจัดรับฟังความคิดเห็น ขณะที่ภาคเอกชน คือ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ที่ปรึกษาอาวุโส กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ตัวแทนสภาหอการค้าไทย ยังเสนอให้เดินหน้าเข้ารัฐสภา แล้วให้คนที่กังวลก็ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯไม่อยากเห็นรัฐบาลตกไปอยู่ในภาวะความเสี่ยงทางการเมืองเช่นนั้นอีก”

 

 

 

ดร.จิราพรกล่าวว่า สภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ (ร่าง) กรอบการเจรจาฯ ระบุอย่างชัดเจนให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ต้องไม่เกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้าขององค์การการค้าโลก กฎหมายไทย หรือความตกลงใด ๆ ที่ไทยเป็นภาคีอยู่ ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2555-2559 ซึ่งจะทำให้นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในระบบสุขภาพที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจริง

 

 

               “การกำหนดให้การเจรจาเอฟทีเอไม่เกินไปกว่าทริปส์นั้น ไม่ได้เป็นการขวางการเจรจาดังที่ภาคเอกชนวิตกกังวล เพราะดูจากการเจรจาเอฟทีเอของอินเดียกับอียู อินเดียซึ่งมีอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญเข้มแข็งระดับโลก ไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว จนในที่สุดนายคาเรล เดอ กุช ประธานคณะกรรมาธิการการค้าของสหภาพยุโรป หัวหน้าคณะเจรจา ต้องยอมรับด้วยการเขียนบทความเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ระบุว่า สหภาพยุโรปจะไม่กดดันให้อินเดีย ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาในด้านนี้แล้ว เพื่อป้องกันผลกระทบทางลบ ที่จะเกิดต่อการเข้าถึงยารักษาโรค ในราคาที่เหมาะสมทั้งที่อินเดียและที่อื่น ๆ การเจรจาเอฟทีเอของทั้งสองประเทศก็ยังดำเนินต่อได้ไป และเท่าที่ทราบมาในร่างกรอบเจรจาฯ หลายประเด็นที่ภาคเอกชนห่วงใย ก็ได้กำหนดชัดเจน เช่น มาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศ ไม่ได้เป็นการกำหนดกรอบอย่างหลวม ๆ ตามอ้าง”

 

อย่างไรก็ดี สภาที่ปรึกษาฯ ยินดีอย่างยิ่งที่ทางกระทรวงพาณิชย์รับปาก ที่จะรอผลการการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ กรณีศึกษาผลกระทบจากข้อตกลงการค้าเสรีไทย-อียูต่อการเข้าถึงยา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ จะดำเนินการเสร็จสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางในการเจรจาด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยา และจะให้มีการศึกษาเปรียบเทียบผลดีผลเสียในภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ซึ่งสะท้อนสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งจะทำการศึกษาผลดีผลเสียด้านสวัสดิการของเกษตรกร แรงงาน และผู้มีรายได้น้อย เพราะที่ผ่านมาไม่มีความชัดเจนว่าผลประโยชน์จากการทำเอฟทีเอตกไปอยู่ที่ใด

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: