อุบลฯหวั่นไม้พะยูงหมดป่า ‘สื่อสร้างสุขอุบลฯ’จับมือรัฐ-ชาวบ้านหาทางออก หวังรักษาแหล่งสุดท้าย

สื่อสร้างสุขอุบลราชธานี 15 ส.ค. 2556


สื่อสร้างสร้างสุขอุบลราชธานี จัดเสวนา “ไม้พะยูง สมบัติสุดท้าย ป่าไม้เมืองอุบล” ที่อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี  โดยมีหน่วยงานด้านการอนุรักษ์รักษาป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาทางออกร่วมกัน

นายกมล หอมกลิ่น ผู้ดำเนินการเสวนา ถามถึงความสำคัญและสถานการณ์การตัดไม้พะยูงในประเทศไทย ซึ่งนายธวัชชัย ลัดกรูด ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าไม้ที่ 7 จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ปัจจุบันการลักลอบตัดและขนย้ายไม้พะยูงออกจากเขตป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านยังมีความต้องการไม้ชนิดนี้ เนื่องจากมีความเชื่อว่าไม้พะยูงเป็นไม้มงคล ทำให้ไม้พะยูงเป็นไม้ที่มีมูลค่าสูงที่สุด จึงเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านลักลอบตัดและขนย้ายออกจากป่า ให้นายทุนลำเลียงไปลงเรือข้ามแม่น้ำโขงเข้าประเทศสปป.ลาว แล้วส่งต่อไปยังประเทศจีน แต่บางครั้งก็มีการแปรรูปนำกลับเข้ามาขายในประเทศไทย โดยตั้งราคาขายแพงลิบลิ่ว

สำหรับจังหวัดอุบลราชธานี เป็นทั้งต้นทาง ทางผ่าน และปลายทางของขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง โดยผู้กระทำผิดจะต่อสู้ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพราะของกลางมีราคาสูง ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบาก

ด้านการปราบปราม ปัจจุบันมีการสนธิกำลังทั้งเจ้าหน้าที่อนุรักษ์รักษาป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง อาสาสมัคร ตั้งหน่วยสกัดกั้น หน่วยติดตามจับกุม ในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอนุรักษ์ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทย ลาว และกัมพูชา และไม่สามารถใช้วิธีปราบปรามได้เพียงอย่างเดียว จึงมีความพยายามขอความร่วมมือจากผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ให้ช่วยกันดูแล

ขณะนี้ไม้พะยูง ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ พบมากบนเทือกเขาภูพานและเทือกเขาพนมดงรักในภาคอีสานตอนล่าง เพราะพื้นที่มีกายภาพตรงกับความต้องการในการเติบโตตามธรรมชาติของพันธุ์ไม้พะยูง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติในจ.อุบลราชธานี มีไม้พะยูงขึ้นตามธรรมจำนวนมาก เพราะมีสภาพอากาศและพื้นดินที่เหมาะสมต่อการเติบโต

“แต่ปัจจุบันกำลังถูกคุกคามจากขวนการลักลอบตัดไม้เข้าไปลักลอบตัดออกจากป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ อนาคตเยาวชนอาจจะรู้จักแต่เพียงชื่อ ได้เห็นจากรูปถ่าย ถ้าไม่หยุดยั้งการลักลอบตัด พันธุ์ไม้พะยูงจะกลายเป็นเพียงตำนานที่มีการเล่าขานสืบต่อกันมาเท่านั้น”

ขณะที่นายชาญชัย งามเจริญ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 อุบลราชธานี กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 ดูแลพื้นที่เขตอนุรักษ์อยู่ 6 จังหวัด และอุทยานแห่งชาติรวม 17 แห่ง จังหวัดอุบลราชธานีเป็นพื้นที่ที่มีไม้พะยูงอยู่มากที่สุด การป้องกันและปราบปราม เจ้าหน้าที่ต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการตัดไม้ โดยผู้ปฏิบัติงานมีการจุดธูปสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ และไม่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงอย่างเด็ดขาด

สำหรับมาตรการป้องปรามคือ มีการตรวจค้นราษฎรทุกคนที่จะเดินเข้าป่าอย่างเข้มงวด เบื้องต้นชาวบ้านต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเข้าป่าไปทำอะไร เพราะไม้พะยูงอยู่บนภูเขา ถูกตัดและขนย้ายมาข้างล่างได้อย่างไร ถ้าไม่มีชาวบ้านมีส่วนช่วยเหลือทั้งการลักลอบตัดและขนย้าย ซึ่งประเด็นนี้เข้าใจเป็นเรื่องปากท้องของชาวบ้าน

การแก้ไขระยะยาวต้องชดเชยเรื่องสร้างอาชีพ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ เช่น ปัจจุบันส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกต้นไผ่ สร้างองค์ความรู้ให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญการมีไม้พะยูงอยู่ในป่า ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องทำงานให้หนักขึ้น มีการปรับแผนลาดตระเวนเข้มงวดถี่ยิ่งขึ้น สร้างจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์ พัฒนาประสิทธิภาพในจับกุมให้เห็นความเชื่อมโยงของขบวนการตัดไม้ มีการเตรียมการอย่างไร เพื่อใช้ในการปราบปรามให้ได้ผลยิ่งขึ้น

ด้าน พ.ต.อ.วรัตถ์เอก สายแก้ว ผกก.สภ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี พูดถึงการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด มักได้ของกลางเป็นไม้กับรถยนต์ใช้บรรทุก ส่วนผู้ต้องหาสามารถหลบหนีการจับกุมไปได้ เพราะมีการวางแผนในขั้นตอนขนย้าย โดยมีคนดูต้นทาง มีแรงงานใช้ขนย้ายที่เป็นคนในท้องถิ่น

สำหรับพื้นที่อ.โพธิ์ไทร ไม่มีการลักลอบตัดไม้พะยูง เพราะในพื้นที่ไม่มีพันธุ์ไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่เป็นเส้นทางใช้ขนลำเลียงออกจากประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน เมื่อการจับกุมได้เพียงของกลาง แต่ไม่ได้ตัวผู้กระทำผิด ทำให้ได้ใจทำการลักลอบกระทำผิดต่อเนื่อง เพราะมีแรงจูงใจจากรายได้ที่สูง บวกกับการลงโทษผู้ขนย้ายไม้ออกนอกประเทศคือ การมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองเกินปริมาตรที่กฎหมายกำหนด และข้อหานำไม้พะยูงออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการเสียภาษีศุลกากรเป็นอัตราการลงโทษที่น้อยคุ้มค่ากับการเสี่ยง

นายวัฒนะ สารรัตน์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อบ.2 (ดงคันไทร) กล่าวถึงกระบวนการจับกุมและการทำงานของกลุ่มผู้ลักลอบตัดไม้พะยูง นอกจากตั้งจุดสกัดจับ ยังต้องประสานความร่วมมือกับชาวบ้าน เพื่อหาข้อมูลช่วงวันเวลาสถานที่ลักลอบนำไม้เข้าพื้นที่ ส่วนขบวนการลักลอบตัดไม้ก็มีการทำงานเป็นทีม ทั้งสืบข้อมูลความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ มีทีมขนย้ายจากจุดตัดมายังจุดขนออกนอกประเทศ ระหว่างการขนย้ายก็มีรถคุ้มกัน รถดูต้นทาง ถึงปลายทางก็มีทีมขนลงเรือ เรียกว่าทำงานเป็นขบวนการ และช่วงฤดูฝนจะมีการขนย้ายไม้พะยูงมากที่สุด เพราะระดับน้ำในแม่น้ำโขงจะสูงขึ้น ทำให้เรือใช้ขนไม้เข้าเทียบท่าง่ายกว่าหน้าแล้ง สะดวกต่อการขนย้ายลงเรือ ปัจจุบันไม้ที่มีการขนย้ายออกเป็นไม้เก่าที่ซุกซ่อนรอเวลาขนย้ายออก ส่วนไม้ตัดใหม่ขณะนี้มีน้อย

              “กระบวนการแก้ปัญหา ต้องสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนหวงแหนไม้พะยูง การจับเป็นแค่ปลายเหตุ ถึงเจ้าหน้าที่จะได้ผลงานการจับกุม แต่ความจริงก็คือ ไม้เนื้อแข็งหายากอายุนับร้อยๆปีได้ถูกตัดไปแล้ว”

จากนั้นผู้ดำเนินรายการได้สอบถามจิตสำนึกกับคนในพื้นที่ ซึ่งนายศิรสิทธิ์ จรูญศรี นายกอบต.หนามแท่ง อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า วันนี้หลายคนมองไม้พะยูง คือสมบัติของเมืองอุบลราชธานีและของชาติ แต่ชาวบ้านมองเป็นประเด็นเรื่องปากท้องและการหารายได้สำคัญกว่า ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวชาวบ้าน และที่ผ่านมาชาวบ้านถูกทำให้รับรู้ว่าไม้พะยูงมีมูลค่าสูง แต่ไม่รู้ว่ามีคุณค่าอะไรบ้าง ถ้าจะให้ชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาไม้พะยูง ต้องให้ชาวบ้านเข้าใจว่าไม้พะยูงมีคุณค่า มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตอย่างไร และต้องยอมรับความจริง คนส่วนใหญ่มองว่าเรื่องสังคมธุระไม่ใช่ พลเมืองดีส่วนใหญ่อายุไม่ยืน สังคมไทยเกรงใจ และให้เกียรติคนมีเงินคนรวย ไม่ใช่คนดี

นายศิรสิทธิ์กล่าวต่อว่า ตัวอย่างประธานป่าชุมชนที่ทำงานด้วยกัน ฐานะไม่ดี แต่มีจิตใจอาสา อยากทำประโยชน์ให้สังคม จึงสร้างเครือข่ายชาวบ้านเฝ้าระวังและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้มานานหลายปี มีชาวบ้านเพียงน้อยนิดไปพัวพันเกี่ยวข้องกับการลักลอบ เชื่อว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รักธรรมชาติรักป่าไม้ การทำงานด้วยจิตอาสา ต้องใช้ทุนตัวเองในการดูแลรักษาป่า แม้บางครั้งได้รับงบประมาณสนับสนุน แต่ไม่มาก พร้อมมีความเห็นว่าการดูแลรักษาป่าไม้คือการรักษาคุณภาพชีวิตของประชาชน การแก้ไขปัญหาต้องหาแนวร่วม ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน ไม่เน้นเพียงมูลค่าไม้พะยูง แต่ไม้ทุกชนิดในประเทศไทย เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เพราะปัจจุบันพื้นที่ป่าเหลือน้อยมาก

ทางด้าน นายอำคา คงทน อดีตประธานชุมชนป่าบ้านนาหว้า ต.สำโรง อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี ให้ความเห็นที่ชาวบ้านตกเป็นจำเลยในกรณีตัดไม้พะยูง สำหรับชุมชนบ้านนาหว้ารวมตัวจัดตั้งป่าชุมชนตั้งแต่ พ.ศ.2539 เพราะรู้สึกรักหวงแหนป่าและต้นไม้ทุกต้น โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่แค่ชุมชนบ้านนาหว้า แต่ทุกคนในโลกได้รับประโยชน์ด้วยกัน เพราะถ้ามีป่าไม้ ก็ได้อากาศดี ส่งผลต่อสุขภาพที่ดี และลดภาวะทำให้โลกร้อน ไม้พะยูงจัดเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นทรัพยากรที่เหลือน้อย และอยากให้คนรุ่นหลังเห็นเป็นต้นไม้เป็น ๆ มากกว่าซากซุงกองเกลื่อนกลากอยู่ตามที่ต่าง ๆ

สำหรับนายบัญชา รุ่งรจนา หัวหน้าป่าสงวนแห่งชาติป่าดงภูหล่น แสดงความเห็นว่า เรื่องการตัดไม้พะยูง มองแบบแยกมิติไม่ได้ เรื่องปากท้องก็สำคัญ เรื่องการบุกรุกตัดไม้ก็สำคัญ ต้องทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจการมีทรัพยากรป่าไม้เป็นเรื่องสำคัญ กรณีดงภูหล่นปัจจุบันมีป่าชุมชนอยู่ 28 แห่ง มีเครือข่ายชาวบ้านที่ทำงานร่วมรณรงค์ทุกแห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นพ่อแม่ ทำอย่างไรจะถ่ายทอดความรักหวงแหนป่าจากคนรุ่นเก่าสู่เยาวชนรุ่นใหม่ให้เห็นความสำคัญและรับรู้เหมือนกัน ซึ่งต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ครอบครัว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องของหน่วยงาน หรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน จึงฝากให้ร่วมกันคิด เพื่อให้ป่าไม้กลับมามีความสมบูรณ์อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเสวนาครั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันในพื้นที่จ.อุบลราชธานี พบการลักลอบตัดไม้พะยูงจากเขตป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ในพื้นที่ตามแนวชายแดนเช่นเดิม จึงมีความเป็นห่วงแหล่งไม้พะยูงแหล่งสุดท้ายของโลกที่อยู่ในประเทศไทย จะถูกทำลายจนหมด เพราะจากสถิติของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2553 ประเทศไทยมีต้นไม้พะยูงเหลืออยู่ทั้งประเทศประมาณ 80,000 ต้น โดยลดลงจากเมื่อ 3 ปีก่อนกว่า 50,000 ต้น จึงมีการสนธิกำลังจากหน่วยปราบปรามทุกหน่วย เพื่อสกัดกั้นการลักลอบตัดทำลาย แต่ในวงการค้าไม้ยังมีความต้องการ เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดี มีลายไม้ที่สวยงาม เหมาะแก่การนำไปใช้ในอุตสาหกรรมประดับยนต์ โดยใช้ตกแต่งรถหรูราคาแพง รวมไปถึงนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งสักการะตามความเชื่อ ทำให้แม้ไม้พะยูงจะมีราคาแพง แต่ในวงการค้าไม้ยังมีความต้องการ

โดยขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง เริ่มตั้งแต่คนนำทางและทำหน้าที่ชี้จุดต้นไม้พะยูงในป่า จะได้รับค่าตอบแทนต้นละ 5,000 บาท ส่วนทีมตัดและทีมชักลากไม้ออกจากป่าได้รับยาเสพติดและค่าเหนื่อยต้นละ 10,000-20,000 บาท ส่วนทีมขนย้ายออกนอกประเทศได้รับค่าจ้างเป็นเที่ยวตามปริมาณไม้ ทำให้ไม้พะยูงแต่ละต้นมีค่าใช้จ่ายจากต้นทางเฉลี่ยต้นละ 50,000 บาท แต่เมื่อนำออกไปนอกประเทศไปแปรรูปจะมีมูลค่าสูงขึ้นอีก 100-200 เท่า จึงมีความพยายามลักลอบตัดไม้ใหม่ในป่า และหาซื้อไม้เก่ามารวมหมอนตามจุดต่างๆ เพื่อรอการขนย้ายออกไปนอกประเทศ โดยกลุ่มค้าไม้พะยูงรายใหญ่ เป็นนักลงทุนจากภาคกลาง มีนักการเมืองระดับชาติคอยหนุนหลัง ใช้วิธีจ้างวานผ่านนักการเมืองท้องถิ่นระดับนายก อบต.ให้หาคนในพื้นที่ช่วยกันตัด ขนย้าย ไปถึงการนำออกไปนอกประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรู้เห็นเป็นใจ ในขบวนการตัดไม้โดยตลอดด้วย

สำหรับการเสวนาครั้งนี้ สามารถชมเทปรายการย้อนหลังได้ที่ช่องสร้างสุขแชนแนล วีเคเบิ้ลทีวี โสภณเคเบิ้ลทีวี ราชธานีเคเบิ้ลทีวี และทางทีวีดาวเทียม Next step ช่องของดีประเทศไทย , sangsook.net ,  App : สื่อสร้างสุข  รวมทั้งสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันอุบลราชธานี FM 102.75 MHz และสถานีวิทยุ Clean radio FM 92.50 MHz อุบลราชธานี

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ
Like this article:
Social share: