นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยในไตรมาสสาม ปี 2556 ว่า การจ้างงานลดลง 1.2 เปอร์เซนต์ เป็นการลดลงทั้งภาคเกษตรและภาคนอกเกษตร อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 0.77 เปอร์เซนต์ สาเหตุจาก 2 ประเด็นคือ 1.เศรษฐกิจชะลอตัวลง 2.กำลังแรงงานลดลง แม้ว่าอัตราการว่างงานสูงขึ้นในระดับ 0.77 เปอร์เซนต์ แต่ยังเป็นอัตราการว่างงานที่ต่ำ และไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม และเสถียรภาพเศรษฐกิจ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชน ที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลา และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นในช่วงไตรมาสที่สาม ปี 2556 เพิ่มขึ้น 11.1 เปอร์เซนต์ จากช่วงเดียวกันปี 2555 ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น 1.7 เปอร์เซนต์ ทำให้ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนแท้จริงเพิ่มขึ้น 9.3 เปอร์เซนต์ ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น 3.9 เปอร์เซนต์
สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังจากนี้ ได้แก่ 1.ภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวลง และความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่มีผลต่อบรรยากาศการลงทุน อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการขยายตำแหน่งงาน 2.การขาดแคลนแรงงานระดับล่างในสาขาก่อสร้าง แม้ในปัจจุบันจะมีการทำข้อตกลง เพื่อนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวต้องใช้เวลานาน ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการทั้งการวางแผนล่วงหน้าในการนำเข้าแรงงานต่างชาติ และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีแทนการใช้แรงงานเด็กที่มาจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยยังคงมีโอกาสทางการศึกษาน้อย
สำหรับภาวะค่าครองชีพ สถานการณ์และแนวโน้มผู้มีรายได้น้อยในเขตเมือง พบว่า ผู้มีรายได้น้อยในเขตเมือง มีรายได้เฉลี่ย 1 ใน 3 ของรายได้เฉลี่ยของผู้อยู่ในเมือง มีผู้มีรายได้น้อยในเขตเมือง 2.5 ล้านครัวเรือน หรือ 9 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 3,248 บาทต่อคน หรือเป็นเพียง 1 ใน 3 ของรายได้เฉลี่ยของผู้ที่อยู่ในเมือง และต่ำกว่ารายจ่ายเฉลี่ยที่ 3,642 บาทต่อคน ขณะที่ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย 44 เปอร์เซนต์ มีหนี้สินโดยเฉลี่ยต่อครัวเรือนเท่ากับ 122,486 บาท ขณะที่กรุงเทพฯ มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงสุดคือ 232,223 บาทต่อครัวเรือน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนครัวเรือนที่เป็นหนี้สูงสุดคือ 55.41 เปอร์เซนต์
ทั้งนี้การปรับตัวต่อภาวะค่าครองชีพในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า ด้านเศรษฐกิจผู้มีรายได้น้อยในเขตเมืองกว่า 3 ใน 4 ได้รับผลกระทบเรื่องรายได้และรายจ่าย เกือบครึ่งหนึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย และ 3 ใน 5 ของประชากรตัวอย่างมีหนี้สิน ส่วนใหญ่เป็นหนี้สินที่สามารถผ่อนชำระได้ 81.4 เปอร์เซนต์ โดย 18.6 เปอร์เซนต์ รายงานว่าเป็นหนี้ที่เป็นภาระหนักไม่สามารถผ่อนชำระได้ ผู้มีรายได้น้อยในเขตเมืองมีหนี้สินเฉลี่ย 149,229 บาท จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ย 31.32 เปอร์เซนต์ ต่อปี แหล่งเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงิน 65 เปอร์เซนต์ ขณะที่เป็นการกู้นอกระบบ 17 เปอร์เซนต์ โดยผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ ต้องเสียอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงกว่าเท่ากับ 59.45 เปอร์เซนต์ ต่อปี ขณะที่ในภูมิภาคจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเฉลี่ย 27.76 เปอร์เซนต์ ต่อปี
“ผู้มีรายได้น้อยในเขตเมืองถึง 1 ใน 5 ที่ไม่สามารถพึ่งพาใครได้เลย ตลอดจนต้องการความช่วยเหลือจากรัฐในเรื่องการควบคุมราคาสินค้า การลดค่าน้ำค่าไฟและราคาน้ำมันหรือก๊าซหุงต้ม แม้ว่ารัฐจะมีการช่วยเหลือแต่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้” นายอาคมกล่าว
ขอบคุณข่าวจากประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ