เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม จากเหตุการณ์อุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2556 ถึงปัจจุบัน เกิดสถานการณ์อุทกภัยรวม 33จังหวัด 250 อำเภอ 1,554 ตำบล 12,667 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 898,383 ครัวเรือน 2,999,265 คน บ้านเรือนเสียหาย 14,703 หลัง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 2,168,466 ไร่ ถนน 4,947 สาย สะพาน 201 แห่ง ฝาย/ทำนบ 518 แห่ง ผู้เสียชีวิต 30 ราย ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 9 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ นครราชสีมา กาฬสินธุ์ พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำปาง และมุกดาหาร ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 24 จังหวัด172 อำเภอ 1,050 ตำบล 8,020 หมู่บ้าน 546,959 ครัวเรือน แยกเป็น น้ำป่าไหลหลาก 20 จังหวัด 157 อำเภอ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7จังหวัด ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ ชัยภูมิ และยโสธร ภาคเหนือ 6 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และอุทัยธานี ภาคกลาง 3 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี และชัยนาท ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา และแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีนล้นตลิ่ง 4จังหวัด 23 อำเภอ ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรีและสุพรรณบุรี มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 15 อำเภอ 135 ตำบล 614 หมู่บ้านแนวโน้มสถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมเริ่มคลี่คลาย หลายพื้นที่ระดับน้ำลดลง แต่ยังมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ พื้นที่ท้ายเขื่อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำออกจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ เนื่องจากปริมาณน้ำเกินความจุอ่าง จึงต้องเร่งระบายน้ำ
นายฉัตรชัยกล่าวต่อว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน ให้ความสำคัญกับการดูแลปัญหาน้ำเน่าเสีย และสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันโรคระบาดในช่วงน้ำท่วม รวมถึงให้ประสานตำรวจจัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของประชาชนในศูนย์พักพิง และจุดที่ประชาชนอพยพมาพักอาศัย พร้อมจัดชุดสายตรวจเคลื่อนที่ตรวจสอบความปลอดภัยบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนระมัดระวังอุบัติภัยในช่วงน้ำท่วม โดยเฉพาะจมน้ำ ไฟฟ้าดูด เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิต กรณีมีผู้เสียชีวิต ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับจังหวัดตรวจสอบ และให้การช่วยเหลือ โดยจ่ายเงินสงคราะห์ ค่าจัดการศพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตรายละ 25,000 บาท หากเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้หารายได้หลักเลี้ยงครอบครัว จ่ายเงินเพิ่มอีก 25,000 บาท
นอกจากนี้จากการติดตามสภาวะอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ช่วงวันที่ 4 – 8 ตุลาคม 2556 ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น และฝนตกหนักบางพื้นที่ รวมถึงคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง ปภ.จึงขอแจ้งเตือนให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ที่ลาดเชิงเขาใน 13จังหวัดได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ระมัดระวังอันตรายจากภาวะฝนตกหนัก โดยติดตามพยากรณ์อากาศ ประกาศแจ้งเตือนภัยอย่างใกล้ชิด ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือระยะนี้ไว้ด้วย
วันเดียวกัน สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์เรื่อง รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชย-เยียวยา ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นกรณีฉุกเฉินโดยทันที โดยระบุว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า เหตุการณ์อุทกภัยขณะนี้ ไม่ถือเป็นเหตุให้รัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชย เยียวยาแก่ผู้ประสบภัย เป็นการให้ข่าวขัดแย้งต่อหลักกฎหมาย โดยในขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการจ่ายเงินดังกล่าวให้กับประชาชนโดยเร็ว
แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่เกิดภาวะอุทกภัยขึ้นในหลาย ๆ จังหวัดทั่วประเทศกว่า 24 จังหวัด 185 อำเภอ 1,156 ตำบล 9,169 หมู่บ้าน 740,431 ครัวเรือน 2,596,492 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 27 คนแล้วนั้น เหตุดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุแห่ง “ภัยพิบัติ” ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน ผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวย่อมต้องได้รับการชดเชย-เยียวยาโดยฉับพลันจากรัฐบาลได้โดยทันที รวมทั้งผู้ประสบภัยพิบัติด้านการทำการเกษตร นาข้าว พืชผัก สวนผลไม้ พืชไร่ การปศุสัตว์และด้านการประมงด้วย
ทั้งนี้ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2556 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด รวมทั้งนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอที่เกิดอุทกภัย มีหน้าที่สำรวจความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณีและความต้องการรับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ของผู้ประสบภัยพิบัติ รวมทั้งมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินทดรองราชการช่วยเหลือประชาชนในกรณีดังกล่าวได้โดยพลัน จังหวัดละ 20 ล้านบาท (ก่อนหน้านี้เคยถูกกำหนดไว้ที่จังหวัดละ 50 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีพและความเป็นอยู่ของประชาชน หรือเป็นการซ่อมแซมให้คืนสู่สภาพเดิมอันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
ดังนั้นการที่นายกรัฐมนตรี ออกมาให้ข่าวว่า กรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายจังหวัดยังไม่ถือเป็นเหตุที่รัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชย-เยียวยาแก่ผู้ประสบภัยคล้ายปี 2554 นั้น เป็นการให้ข่าวที่ขัดหรือแย้งต่อหลักกฎหมายดังได้กล่าวแล้ว สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนจึงใคร่ขอเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัยในขณะนี้ ได้เร่งรีบจ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังทุกข์ยากอยู่ในขณะนี้โดยพลัน ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และหากพื้นที่ใด จังหวัดใดมีพฤติการณ์ละเว้นเพิกเฉย หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ขอให้ประชาชนร้องเรียนมายังที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โทรสาร 02-152-8569 เพื่อเป็นตัวแทนผู้เดือดร้อนในการฟ้องร้องเอาผิดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หน่วยงานราชการ และรัฐบาล ให้กับผู้เดือดร้อนต่อไป
ขอบคุณภาพประกอบข่าวจากเดลินิวส์
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ