เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ห้อง 914 ศาลอาญารัชดา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอาญา หมายเลขดำที่ อ.3151/52 คดีระหว่างบริษัท สยามเอนเนอร์ยี่ จำกัด (บริษัทเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าบางคล้า) เป็น โจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.วัชรี เผ่าเหลืองทอง อดีตผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคต จำเลย ในฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328) โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ที่เคยมีคำพิพากษาในคดีนี้ไปเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2555 ยกฟ้องนางวัชรี เนื่องจากการพูดในครั้งนั้นเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะประชาชนที่ติดตามข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางความดีใจ ของกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน ที่เข้าร่วมรับฟังการพิพากษาคดี
สำหรับคดีฟ้องร้องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2552 โดยน.ส.วัชรี เผ่าเหลืองทอง ถูกบริษัท สยามเอนเนอร์ยี่ จำกัด ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2552 สืบเนื่องจากกรณีที่ให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์นโยบายพลังงาน การวางรูปแบบหลักเกณฑ์การเปิดประมูลผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และการปฏิบัติตัวของข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงาน และมีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการประมูล และกระบวนการจัดทำอีไอเอของบริษัทโจทก์ ออกอากาศทางรายการคมชัดลึกของสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนล เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2552 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีสถานการณ์ชาวบ้านบางคล้าชุมนุมปิดถนนเพื่อต่อต้านโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท สยามเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด โดยบริษัท สยามเอนเนอร์ยี่ จำกัด ยื่นฟ้องนางสาววัชรี ทั้งคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทและคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายกว่k 300 ล้านบาท
น.ส.วัชรีให้สัมภาษณ์ภายหลังรับฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกยินดีที่ศาลให้ความคุ้มครองประชาชนในการแสดงความคิดเห็นกับโครงการโรงไฟฟ้า ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และชุมชน ในการแสดงความคิดเห็นครั้งนั้น ตนได้พูดแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของโรงไฟฟ้าที่ทำมาอย่างไม่ถูกต้อง และมีความไม่โปร่งใสหลายอย่าง เช่น การที่มีผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นบอร์ดในบริษัทพลังงาน แสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสในการดำเนินนโยบายพลังงานของประเทศ หลังจากนั้นบริษัทฯ ก็ได้ฟ้องร้องตน และขณะนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ศาลให้ความคุ้มครองต่อการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมานี้ ตนคิดว่า การต่อต้านคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า หรือ โครงการที่มีผลกระทบต่อประชาชนนั้น จะยังเกิดขึ้นต่อไป เช่น ในภาคใต้ เพราะภาครัฐมองว่า ชาวบ้านเองเป็นกลุ่มที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องมีโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้ามีความจำเป็นอย่างไร นั่นคือสิ่งที่รัฐมอง แต่จริง ๆ แล้วรัฐเองต่างหากที่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ประชาชนต้องเรียกร้องคือ ต้องการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติชุมชนให้ปลอดภัยจากผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมของโรงงานถ่านหิน ตอนนี้เป็นความพยายามของชาวบ้านที่จะออกมาปกป้องสิทธิชุมชน และสิทธิของตัวเอง
“มีการศึกษาจำนวนมาก บอกชัดเจนว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ใช่คำตอบเรื่องของความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ซึ่งนักวิชาการก็ได้ส่งรายละเอียดไปให้รัฐบาลพิจารณาแล้วว่า ความมั่นคงทางพลังงานจะต้องเลือกใช้การใช้พลังงานทางเลือก แต่รัฐบาลพุ่งความสนใจไปในเรื่องของการใช้พลังงานหลัก ดังนั้นการคัดค้าน การต่อต้านจะเกิดขึ้นไม่สิ้นสุดแน่นอน” น.ส.วัชรี กล่าว
สำหรับ น.ส.วัชรี เผ่าเหลืองทอง เป็นนักเคลื่อนไหวด้านพลังงานทางเลือก ทำงานกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ และเป็นที่ปรึกษาสมัชชาคนจน และทำงานเคียงคู่กับ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ นักต่อสู้เพื่อคนจน ผู้ล่วงลับ ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าบางคล้า ถูกคัดค้านอย่างหนักจากชาวบางคล้าและชาวฉะเชิงเทรา กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา ต้องเปิดการเจรจาและเสนอรัฐบาลไม่ให้มีการก่อสร้าง สุดท้ายมีการแก้ไขสัญญา ทำให้ต้องย้ายไปตั้งที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ 3 จ.พระนครศรีอยุธยา (โดยได้รับการแก้ไขสัญญาเพิ่มเงินค่าซื้อไฟฟ้าให้)
ส่วนบริษัท สยามเอนเนอร์ยี่ จำกัด เป็นบริษัทลูกของ บริษัท เจ-พาวเวอร์ และกัลฟ์ เจพี จำกัดซึ่งเป็นบริษัทเชื้อสายญี่ปุ่นรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย โดยบริษัท กัลฟ์ เจพี จำกัด เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าหนองแซง กำลังผลิต 1650เมกะวัตต์ (บริษัทกัลฟ์ เจพี เอนเอส จำกัด) และโรงไฟฟ้าบางคล้าเดิม กำลังผลิต 1,600 เมกะวัตต์ (บริษัท สยามเอนเนอร์ยี่ จำกัด)
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ