แผนที่ระวางทวาย  ตะกั่วที่คลิตี้  77  ตารางกิโลเมตร  กพร.  และ  ทธ.  เสนอเดินหน้าต่อ

โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ 18 ต.ค. 2556


กรมทรัพยากรธรณี[1]  ได้ดำเนินนโยบายจัดทำแผนที่ทรัพยากรแร่เพื่อแสดงขอบเขตพื้นที่แหล่งแร่  และพื้นที่ศักยภาพแร่[2]  ชนิดต่าง  ๆ  ในขนาดมาตราส่วน  1:250,000  ทั่วประเทศ  พร้อมทั้งประเมินปริมาณสำรองของแร่แต่ละชนิดในพื้นที่ประทานบัตรและพื้นที่แหล่งแร่ต่าง  ๆ  ที่ได้เคยสำรวจพบแล้ว  โดยได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2540  เป็นต้นมา     

                                                                                      

          การสำรวจและประเมินทรัพยากรแร่  ในแผนที่มาตราส่วน  1:250,000  ระวาง  ND 47-6  หรือระวางทวาย  ตามนโยบายดังกล่าว  เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ  2542  เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่  และพื้นที่ศักยภาพแร่ทุกชนิด  พร้อมทั้งประเมินปริมาณแร่สำรองของแร่แต่ละชนิดที่สำรวจพบในพื้นที่นี้  พื้นที่ดำเนินการตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของจังหวัดกาญจนบุรี  ระหว่างเส้นรุ้งที่  14°  00¢  ถึง  15°  00¢  เหนือ  และเส้นแวงที่  98°  15¢  99°  00¢  ตะวันออก  คลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของอำเภอทองผาภูมิ  และพื้นที่บางส่วนของอำเภอไทรโยค  อำเภอสังขละบุรี  และอำเภอศรีสวัสดิ์  จังหวัดกาญจนบุรี  รวมทั้งหมดประมาณ  5,575  ตารางกิโลเมตร  โดยมีอาณาเขตด้านทิศเหนือ  อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอสังขละบุรี  อำเภอทองผาภูมิ  และประเทศสหภาพพม่า  ทิศตะวันออกอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอศรีสวัสดิ์ และไทรโยค  ทิศใต้และตะวันตกอยู่ติดกับประเทศสหภาพพม่า

          กล่าวเฉพาะแร่ตะกั่ว-สังกะสี  เพราะเป็นที่สนใจรับรู้ของสาธารณชน  อันเนื่องมาจากมีตะกอนตะกั่วจำนวนมากในลำห้วยคลิตี้จนเป็นสาเหตุให้เกิดการปนเปื้อนเข้าไปในห่วงโซ่อาหาร  โดยแพร่กระจายเข้าไปในสัตว์น้ำ  พืชพรรณไม้น้ำ  และไม้ริมน้ำ  สองฝั่งห้วยคลิตี้  จนเป็นเหตุให้ประชาชนมีสารพิษตะกั่วปนเปื้อนและสะสมอยู่ในร่างกาย  จนเจ็บป่วยและพิกลพิการ  นั้น   ส่วนใหญ่จะพบแร่ดังกล่าวในพื้นที่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ของแผนที่ระวางทวาย  ระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแม่น้ำแควใหญ่  แหล่งแร่นี้มีการผลิตแร่มาเป็นเวลานานมากกว่า  1,500  ปี  โดยหลังปี  2500  ที่เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นพิมพ์เขียวในการพัฒนาประเทศ  มีเหมืองขนาดใหญ่ที่ทำการผลิตแร่เกิดขึ้นอยู่  4  เหมือง  ด้วยกัน  ได้แก่  เหมืองสองท่อ  เหมืองบ่อใหญ่  เหมืองบ่องาม  และเหมืองบ่อน้อย  ปัจจุบันเลิกผลิตหมดแล้ว  (เลิกผลิตตั้งแต่ปี  2548)  เนื่องจากประทานบัตรหมดอายุ  กระแสการอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมเพราะเป็นป่าต่อเนื่องกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  ที่เคยมีการคัดค้านการสร้างเขื่อนน้ำโจน  และปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ตะกั่วต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับลำห้วยคลิตี้

          นอกจากพื้นที่แหล่งแร่ที่ปรากฏซ้อนทับอยู่ในพื้นที่การทำเหมืองขนาดใหญ่ทั้ง  4  แห่ง  ตามที่ได้กล่าวไว้ในย่อหน้าก่อน  การจัดทำแผนที่ทรัพยากรแร่ตามนโยบายดังกล่าวยังได้สำรวจและประเมินทรัพยากรแร่เพื่อกำหนดพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่ว-สังกะสี  เอาไว้ด้วย  โดยสามารถกำหนดพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่ว-สังกะสี  เอาไว้  4  พื้นที่  ครอบคลุมพื้นที่รวมทั้งหมด  385  ตารางกิโลเมตร  หรือราว  240,625  ไร่  (ดูแผนที่  1  แผนที่แสดงพื้นที่ศักยภาพแร่ในแผนที่ระวาง  ND  47-6  (ทวาย)  ท้ายบทความนี้)  ดังนี้

(1)  พื้นที่เกริงกระเวีย-สองท่อ-บ่อน้อย  (Pb-Zn 1)  ครอบคลุมพื้นที่แหล่งแร่เกริงกระเวีย  สองท่อ  บ่อใหญ่  บ่อน้อย  และหนานยะ  ตั้งอยู่ในเขตตำบลชะแล  และตำบลสหกรณ์นิคม  อำเภอทองผาภูมิ  เนื้อที่ประมาณ  286  ตารางกิโลเมตร

(2)  พื้นที่บ่องาม  (Pb-Zn 2)  ครอบคลุมพื้นที่แหล่งแร่บ่องาม  ตั้งอยู่ในเขตตำบลชะแล  อำเภอทองผาภูมิ  เนื้อที่ประมาณ  92.2  ตารางกิโลเมตร

(3)  พื้นที่ปิล็อก  (Pb-Zn 3)  ตั้งอยู่ในเขตตำบลปิล็อก  อำเภอทองผาภูมิ  เนื้อที่ประมาณ  3.5  ตารางกิโลเมตร

(4)  พื้นที่เขาตะกั่ว  (Pb-Zn 4)  ตั้งอยู่ในเขตตำบลปิล็อก  อำเภอทองผาภูมิ  เนื้อที่ประมาณ  3.7  ตารางกิโลเมตร

 

งานศึกษาของ  TDRI

             ต่อมา  กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  (กพร.)  ได้ศึกษาต่อยอดจากการจัดทำแผนที่ทรัพยากรแร่ตามนโยบายดังกล่าว  โดยได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  (TDRI)  ให้จัดทำแผนแม่บททางด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมืองเพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณีในเขตเศรษฐกิจแร่ตะกั่ว จังหวัดกาญจนบุรี[3]  เมื่อปี  2546  โดยกำหนดพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่วเอาไว้  2  พื้นที่  ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด  77  ตารางกิโลเมตร  (ดูแผนที่  2  แผนที่หมู่บ้านบริเวณการทำแร่ตะกั่ว  จังหวัดกาญจนบุรี  ท้ายบทความนี้)  ได้แก่

(1)  พื้นที่สองท่อ-บ่อใหญ่  ครอบคลุมพื้นที่  44  ตารางกิโลเมตร

(2) พื้นที่บ่องาม-องข่า-คลิตี้ล่าง  ครอบคลุมพื้นที่  33  ตารางกิโลเมตร

 

งานศึกษาชิ้นนี้มีความแยบยลด้วยการใช้วิธีเปรียบเทียบระหว่าง  การประเมินมูลค่าสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจกรรมเหมืองแร่และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง’  กับ  มูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้จากการพัฒนากิจกรรมเหมืองแร่ตะกั่ว’  เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสนับสนุนประเด็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้จากการพัฒนากิจกรรมเหมืองแร่ตะกั่วมากกว่าการคำนึงถึงมูลค่าสิ่งแวดล้อมและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจกรรมเหมืองแร่ตะกั่วที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นใหม่อย่างจริงจัง  ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากข้อเสนอให้กันเขตพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่วทั้ง  2  บริเวณข้างต้น  พื้นที่  77  ตารางกิโลเมตร  (48,125  ไร่)  เป็นเขตเศรษฐกิจแร่ตะกั่ว  เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริงตามธรรมชาติ  ซึ่งมีแร่ตะกั่วเกิดปะปนอยู่อย่างสมบูรณ์

โดยคำนึงถึงมูลค่าสิ่งแวดล้อมและความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจกรรมเหมืองแร่ตะกั่วที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็เพียงแต่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันและเฝ้าระวังสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตแหล่งแร่  ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการได้รับตะกั่วจากธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ซึ่งเป็นการศึกษาที่ขาดประเด็นสำคัญอย่างน้อย  2  ประเด็น  ดังนี้

1.  ไม่ตั้งคำถามหรือวิเคราะห์และวิจารณ์ความไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ-ราชการ  และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและเฝ้าระวังสุขภาพอนามัยของประชาชนที่เป็นสาเหตุให้เกิดการปนเปื้อนและสะสมสารพิษตะกั่วในร่างกายประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้กับลำห้วยคลิตี้  เมื่อครั้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา  

แต่กลับเสนอให้เดินหน้าต่อ  ส่วนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นใหม่กลับฝากผีฝากไข้ไว้กับหน่วยงานรัฐ-ราชการที่เคยล้มเหลวมาแล้วจากเหตุการณ์สารพิษตะกั่วปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมธรรมชาติและในชีวิตมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใกล้กับลำห้วยคลิตี้  เมื่อครั้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา

2.  ไม่มีข้อเสนอให้แก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้และสภาพแวดล้อมใกล้เคียงให้ฟื้นคืนกลับมาใหม่  จากเหตุการณ์สารพิษตะกั่วปนเปื้อน  เมื่อครั้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ตามที่ประชาชนในพื้นที่และสาธารณชนร้องขอ

ไม่เพียงเท่านั้น  งานศึกษาชิ้นนี้ได้พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะผลักดันให้เห็นความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของโครงการทำเหมืองแร่ตะกั่วมากกว่ามูลค่าสิ่งแวดล้อมที่จะได้รับผลกระทบ  โดยอ้างว่าสาเหตุการปนเปื้อนของตะกั่วซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่  เกิดจาก  2  สาเหตุหลัก  ได้แก่  

หนึ่ง – เกิดจากธรรมชาติของพื้นที่ที่มีแร่ตะกั่วเกิดปะปนกับดินและหินสูงผิดปกติ  

สอง – เกิดจากกิจการทำเหมืองและแต่งแร่ตะกั่วในบริเวณดังกล่าว

 

การอ้างเช่นนี้ก็เพื่อโยนความผิดจากการทำเหมืองและแต่งแร่ตะกั่วที่ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงขึ้นกับระบบนิเวศลุ่มน้ำลำห้วยคลิตี้  จนส่งผลกระทบต่อมาเป็นลูกโซ่ไปยังประชาชนที่อาศัยลำห้วยคลิตี้เพื่อหาอยู่หากินและเลี้ยงชีพ  ไปให้กับธรรมชาติ

ความดื่มด่ำศรัทธาใน  ธรรมชาติ’  ของงานศึกษาชิ้นนี้ได้ถูก  กพร.  นำไปขยายผลในทางที่สนับสนุนให้มีเหมืองแร่ตะกั่วในพื้นที่ศักยภาพแร่  77  ตารางกิโลเมตร  มากยิ่งขึ้นไปอีก  โดยแม้จะยอมรับความจริงว่าการตรวจวัดระดับการปนเปื้อนของตะกั่วในสิ่งแวดล้อมบริเวณหมู่บ้านคลิตี้ล่างซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่กระจายของตะกอนหางแร่จากโรงแต่งแร่  พบว่าในปี  2541-2543  น้ำห้วย  ตะกอนธารน้ำ  และสัตว์น้ำในลำห้วยคลิตี้  รวมทั้งพืชบางชนิดมีปริมาณตะกั่วปนเปื้อนสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัย  แต่ธรรมชาตินี่เองที่พบว่า  ในปัจจุบันคุณภาพน้ำและสิ่งแวดล้อมโดยรวมได้รับการฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพตามธรรมชาติของพื้นที่  ทั้งนี้  โรงแต่งแร่ที่เป็นสาเหตุของการปนเปื้อนถูกให้หยุดดำเนินการตั้งแต่เกิดเหตุทำนบบ่อกักเก็บหางแร่พังทลายในปี  2541  และไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตให้ประกอบกิจการอีกเลย”[4]

และ  “จากข้อมูลล่าสุดในปี  2545  ผลการตรวจวัดระดับตะกั่วในเลือดของประชาชนในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง  และหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำห้วยคลิตี้  หรือไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพื้นที่ทำเหมืองและแต่งแร่  แต่จัดเป็นพื้นที่เสี่ยงที่จะได้รับตะกั่วจากสิ่งแวดล้อม  อีก  6  หมู่บ้าน  ได้แก่  หมู่บ้านคลิตี้บน  ห้วยเสือ  ทุ่งนางครวญ  เกริงกะเวีย  ท่าดินแดง  และทิพุเย  พบว่าระดับตะกั่วในกลุ่มเด็กจากหมู่บ้านคลิตี้ล่างมีแนวโน้มลดลงจนอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน  (25 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร)  แต่มีเด็กบางส่วนจาก  4  หมู่บ้าน  มีระดับตะกั่วในเลือดเกินค่ามาตรฐาน  ส่วนในกลุ่มผู้ใหญ่มีเพียงคนเดียวที่มีระดับตะกั่วในเลือดเกินมาตรฐาน  (40 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร)”[5]

เพื่อที่จะตอกย้ำให้เห็นว่าปัญหาสารพิษตะกั่วไม่ได้มีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่และโรงแต่งแร่เพียงอย่างเดียว  แต่เป็นเพราะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความเป็นพิษของตะกั่วในสภาพแวดล้อมธรรมชาติเอง  เพราะสามารถตรวจพบระดับตะกั่วเกินค่ามาตรฐานในหมู่บ้านข้างเคียง  4  หมู่บ้าน  ที่มิได้อยู่ท้ายน้ำของลำห้วยคลิตี้

นอกจากนี้  ยังพบความย้อนแย้งของข้อมูลในงานศึกษาชิ้นนี้เพิ่มเติมอีก  ในบทที่  7  ของรายงานฉบับสมบูรณ์  ซึ่งเป็นบทสรุปและแนวทางการจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่  เสนอไว้ว่าการดำเนินกิจกรรมการทำแร่ตะกั่วให้ดำเนินกิจกรรมการทำแร่ตะกั่วต่อไปได้ในบริเวณสองท่อ-บ่อใหญ่  เพราะมีการลงทุนเดิมอยู่แล้ว  ทั้งนี้  การดำเนินกิจกรรมการทำเหมืองแร่ต้องเป็นไปตามแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบ  ในส่วนของพื้นที่บริเวณบ่องาม-องข่า-คลิตี้ล่าง  พบว่า  มูลค่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่คุ้มค่ากับต้นทุน  จึงสมควรชะลอการทำแร่จนกว่าราคาแร่ตะกั่วจะสูงขึ้น  หรือมีวิธีการผลิตที่ใช้ต้นทุนต่ำลง  แต่ในบทที่  6  ได้วิเคราะห์ความเหมาะสมทางเศรษฐกิจเพื่อเปิดโอกาสให้มีการทำเหมืองแร่ตะกั่วที่บริเวณบ่องาม-องข่า-คลิตี้ล่าง  เอาไว้ว่า  แนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหาสารตะกั่ว  คือการย้ายชุมชนที่อยู่ในบริเวณที่มีกิจกรรมการทำเหมืองแร่ออกจากพื้นที่  เนื่องจากพื้นที่ที่มีผลกระทบต่อจำนวนครัวเรือนแตกต่างกัน  ดังนั้น  จึงคำนวณต้นทุนการอพยพแยกเป็น  2  แหล่ง  คือ  กลุ่มเหมืองสองท่อ-บ่อใหญ่  และกลุ่มเหมืองบ่องาม-องข่า-คลิตี้ล่าง  แยกเป็นพื้นที่ทำกินและพื้นที่อยู่อาศัย  โดยนำพื้นที่เฉลี่ย  คูณ  จำนวนครัวเรือน  คูณ มูลค่าที่ดินต่อไร่  ซึ่งอ้างอิงราคาที่ดินของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  เนื่องจากการอพยพคนต้องใช้เงินเพื่อชดเชยในราคาสูงจึงจะมีการอพยพออก  และเป็นมูลค่าที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน”[6]

โดยค่าชดเชยการอพยพประชาชนกรณีการพัฒนาเหมืองแร่บริเวณสองท่อ-บ่อใหญ่  ต้องใช้งบประมาณ  774.26  ล้านบาท  ส่วนค่าชดเชยการอพยพประชาชนกรณีการพัฒนาเหมืองแร่บริเวณบ่องาม-องข่า-คลิตี้ล่าง  ต้องใช้งบประมาณ  221.78  ล้านบาท

 

งานศึกษาของศูนย์บริการวิชาการ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

          ในปี  2554  กรมทรัพยากรธรณี  (ทธ.)  ได้ว่าจ้างศูนย์บริการวิชาการ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  จัดทำโครงการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์เบื้องต้น  เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี  (แร่ตะกั่ว- สังกะสี)  บริเวณอำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี[7]  (ดูแผนที่  3  แผนที่แหล่งแร่ตะกั่ว  สังกะสี  บริเวณอำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี  ท้ายบทความนี้)  เพื่อยกระดับในการจัดทำข้อเสนอทางนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม  โดยนำข้อเสนอที่ได้จากงานศึกษาของ  TDRI  มาจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่  ซึ่งส่วนใหญ่เน้นขอบเขตอำเภอทองผาภูมิเป็นหลัก  เพื่อสร้างกระบวนการการยอมรับให้เกิดการกันพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่วออกจากเขตอุทยานแห่งชาติลำคลองงู  เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาลงทุนขอสัมปทานทำเหมืองแร่ตะกั่วในพื้นที่  77  ตารางกิโลเมตร  ขึ้นในอนาคต 

ปัจจุบัน  งานศึกษาของศูนย์บริการวิชาการ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ใกล้แล้วเสร็จ  ซึ่งจะเสนอผลงานให้กับกรมทรัพยากรธรณี  (ทธ.)  รับงานและอนุมัติจ่ายงบประมาณงวดสุดท้ายต่อไป

 

บทสรุป

          ทั้ง  ๆ  ที่ผ่านมา  การทำเหมืองแร่ตะกั่วและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ลุ่มน้ำลำห้วยคลิตี้  เกิดการปนเปื้อนและแพร่กระจายของตะกอนหางแร่ตะกั่วในลำห้วยดังกล่าว  ก่อให้เกิดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนอย่างรุนแรง  จนก่อให้เกิดกระแสต่อต้านการดำเนินกิจกรรมเหมืองแร่อย่างต่อเนื่อง  ตั้งแต่ปี  2541  เป็นต้นมา  จนในที่สุด  เมื่อวันที่  10  มกราคม  2556  ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาสั่งกรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้านคลิตี้ล่าง  22  ราย  คนละ  1.77  แสนบาท  พร้อมสั่งให้จัดทำแผนฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้  และดำเนินการฟื้นฟูตามธรรมชาติ  ก็หาได้เป็นบทเรียนแก่รัฐ-ราชการ  นักวิชาการ  และนักลงทุนแต่อย่างใด  ยังคงมีความพยายามผลักดันเดินหน้าเพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เอกชนเข้าไปลงทุนขอสัมปทานทำเหมืองแร่ในพื้นที่ลุ่มน้ำลำห้วยคลิตี้และพื้นที่ใกล้เคียงที่อยู่ในพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่ว  77  ตารางกิโลเมตร  ต่อไป

นอกจากการใช้งานศึกษาวิจัยมารองรับและผลักดันให้ทำการกันพื้นที่ศักยภาพแร่ตะกั่ว  77  ตารางกิโลเมตร  ออกจากพื้นที่ชุมชนและพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว  ยังมีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะแก้ไขกฎหมายแร่  (พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510)  เพื่อกันเขตศักยภาพแร่ทุกชนิด  ไม่เฉพาะแร่ตะกั่ว  ออกจากพื้นที่ป่าไม้ที่มีกฎหมายเฉพาะหวงห้ามการเข้าใช้ประโยชน์ใด  ๆ  นำมาให้เอกชนประมูลเพื่อการสำรวจและทำเหมืองแร่ได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้ามให้จงได้

ดังเช่นร่างพระราชบัญญัติแร่  พ.ศ.  ....  ฉบับล่าสุดเมื่อปี  2555  ที่  กพร.  ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ปัจจุบันร่างกฎหมายดังกล่าวได้ยกร่างเสร็จแล้ว  อยู่ที่  กพร.  กำลังดำเนินการแก้ไขปรับปรุงอีกเล็กน้อย  ก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติรับหลักการเพื่อนำไปสู่การพิจารณาในรัฐสภาเป็นกฎหมายใช้บังคับต่อไป

 

พระราชบัญญัติแร่

พ.ศ. 2510

ร่างพระราชบัญญัติแร่

พ.ศ. .... (2555)

     มาตรา  6  จัตวา  เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา  กำหนดพื้นที่ใดที่มิใช่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่ได้ทำการสำรวจแล้วปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์  และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออกประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้าม  หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นในที่ดินในพื้นที่นั้น  แต่ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย

     มาตรา  90  เพื่อประโยชน์แก่การบริหารจัดการแร่ด้านเศรษฐกิจของประเทศและการได้มาซึ่งทรัพยากรแร่อันมีค่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ  และโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดพื้นที่ใดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้ามหรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นในพื้นที่นั้น  โดยพื้นที่ที่จะกำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ได้ต้องเป็นพื้นที่ดังต่อไปนี้

     (1)  มีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง

     (2)  มิใช่พื้นที่ตามกฎหมายเฉพาะเรื่องห้ามการเข้าใช้ประโยชน์ใด  ๆ  โดยเด็ดขาด  รวมถึงพื้นที่ตามกฎหมายว่าด้วยเขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ

 
 
                                                                 
 
 

แผนที่  1  แผนที่แสดงพื้นที่ศักยภาพแร่ในแผนที่ระวาง  ND  47-6  (ทวาย)

คัดลอกจาก  รายงานวิชาการ  ฉบับที่  กธท  2/2546  การประเมินทรัพยากรแร่ในแผนที่ระวาง  ND  47-6  (ทวาย)

โดยประยุกต์ใช้ข้อมูลกัมมันตรังสีทางอากาศ  กองธรณีเทคนิค  กรมทรัพยากรธรณี.  หน้า  42

 

แผนที่  2  แผนที่หมู่บ้านบริเวณการทำแร่ตะกั่ว  จังหวัดกาญจนบุรี

คัดลอกจาก  รายงานฉบับสมบูรณ์  การจัดทำแผนแม่บททางด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมือง

เพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณีในเขตเศรษฐกิจแร่ตะกั่ว จังหวัดกาญจนบุรี.  บทสรุปสำหรับผู้บริหาร. 

เสนอกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  จัดทำโดย  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  เมษายน  2546.  หน้า  8

แผนที่  3  แผนที่แหล่งแร่ตะกั่ว  สังกะสี  บริเวณอำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี

คัดลอกจาก  แหล่งแร่ตะกั่ว สังกะสี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี.  หน้า  5

ข้อมูลโครงการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์เบื้องต้น

เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรณี  (แร่ตะกั่ว สังกะสี)  บริเวณอำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี.

เริ่มโครงการปี  2554  โดยกรมทรัพยากรธรณี  (ทธ.)  ว่าจ้างศูนย์บริการวิชาการ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

 



[1]  ภายหลังการปฏิรูประบบราชการตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕  เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕  มีการแยกภารกิจหลักของกรมทรัพยากรธรณีไปสังกัดอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ  ตามที่มีการแบ่งโครงสร้างส่วนราชการใหม่  คือ  งานด้านการให้สัมปทาน  ควบคุม  กำกับและดูแลการสำรวจและทำเหมืองแร่ตามกฎหมายแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐  ขึ้นกับหน่วยงานใหม่ชื่อ ‘กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่’  หรือ  กพร.  สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม  งานด้านสงวน  อนุรักษ์  ฟื้นฟูและบริหารจัดการทรัพยากรธรณีตามกฎหมายแร่  พ.ศ. ๒๕๑๐  เฉพาะมาตรา  ๖  ทวิ  และ  ๖  จัตวา  ขึ้นกับกรมทรัพยากรธรณี  ย้ายสังกัดไปอยู่ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  งานด้านน้ำบาดาลขึ้นกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล  สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  งานด้านพลังงานขึ้นกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ สังกัดกระทรวงพลังงาน

 

[2]  จากรายงานวิชาการ  ฉบับที่  สนผ  1/2554  กฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการจำแนกเขตทรัพยากรแร่.  ดรุณี  เจนใจ  สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรณี  กรมทรัพยากรธรณี. 

กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพแหล่งทรัพยากรแร่ของประเทศ  โดยจัดแบ่งพื้นที่ทั่วประเทศออกเป็นพื้นที่  3  ประเภท  ตามนิยาม  ดังนี้

                (1)  พื้นที่ที่สำรวจแล้วแต่ยังไม่พบศักยภาพทางแร่  หรือพื้นที่ที่ยังไม่มีการสำรวจ  (พื้นที่ไม่พบแร่/ยังไม่สำรวจ)  หมายถึง  พื้นที่ที่ยังไม่มีการสำรวจหรือพื้นที่ที่ยังสำรวจไม่พบศักยภาพทางแร่หรือแหล่งแร่  ซึ่งต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมต่อไป 

                (2)  พื้นที่ศักยภาพแร่  หมายถึง  พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ยังไม่มีการค้นพบทรัพยากรแร่ที่ชัดเจน  แต่มีแนวโน้มที่จะมีได้  โดยมีหลักฐานบ่งชี้จากข้อมูลทางธรณีวิทยา  ธรณีวิทยาแหล่งแร่  ธรณีเคมี  และธรณีฟิสิกส์  ทั้งนี้  หมายรวมถึงพื้นที่ที่มีแร่กระจัดกระจายในหินซึ่งมีนัยสำคัญ  หรือมีบริเวณพบแร่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของพื้นที่นั้น ๆ

                (3)  พื้นที่แหล่งแร่  หมายถึง  พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งซึ่งมีแหล่งแร่หรือแหล่งสินแร่ชนิดเดียวหรือหลายชนิดเกิดร่วมกันในพื้นที่นั้น ๆ  รวมทั้งพื้นที่ที่มีคำขอประทานบัตร  และ/หรือประทานบัตร  แหล่งหินอุตสาหกรรม  ที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องตามหลักวิชาการ  ซึ่งในการกำหนดขอบเขตพื้นที่แหล่งแร่จะใช้ข้อมูลวิชาการทางธรณีวิทยาแหล่งแร่เป็นปัจจัยหลักในการกำหนด

[3]  รายงานฉบับสมบูรณ์  การจัดทำแผนแม่บททางด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมืองเพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณีในเขตเศรษฐกิจแร่ตะกั่ว จังหวัดกาญจนบุรี.  เสนอกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  จัดทำโดย  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  เมษายน  2546

[4]  ข้อความในเครื่องหมายคำพูดคัดลอกจากเนื้อหาที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  (กพร.)  เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์องค์กร  เข้าถึงข้อมูลได้ที่  http://www.dpim.go.th/laws/article?catid=122&articleid=310  คัดลอกเมื่อวันที่  16  ตุลาคม  2556   ซึ่งเป็นเนื้อหาที่อ้างมาจากรายงานฉบับสมบูรณ์  การจัดทำแผนแม่บททางด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูพื้นที่ทำเหมืองเพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณีในเขตเศรษฐกิจแร่ตะกั่ว จังหวัดกาญจนบุรี.  เสนอกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่  จัดทำโดย  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  เมษายน  2546

[5]  อ้างอิงเดียวกันกับเชิงอรรถ  4

[6]  รายงานฉบับสมบูรณ์ฯ  ตามเชิงอรรถ  3.  หน้า  136

[7]  โครงการศึกษาดังกล่าว  มีระยะเวลาศึกษาโครงการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน  2554  (210  วัน)  แต่ปัจจุบันพบว่ายังไม่แล้วเสร็จ  อาจจะเนื่องด้วยการอนุมัติงบประมาณที่ล่าช้าไปจากแผนงาน/ระยะเวลาศึกษาที่วางไว้

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: