ทะเลสีดำ

ตัวหนอนบนกองหนังสือ 15 ต.ค. 2556


รุ่ยรุ่ยพลิ้วลิ่วพรมหน้าลมพลัด                           เคลื่อนวงวัตรวาระตะวันตก

สิ้นลมนอกกระแสน้ำเปลี่ยนลำวก                    ตาแห่งนกก็เปลี่ยนหมายสายนทีฯ

“หมาย” เคยเห็นเป็นแหล่งแห่งการล่า            คือฝีมือลือชากะลาสี

“หมาย” กลับเปลี่ยนแรงหมายในวันนี้             ขณะที่ลมพลัดยังกวัดไกว

พัดผ่านช่องมะละกามาสู่เหย้า                         มาเย้ยย่านหมู่บ้านเก่า เล่าเรื่องใหม่

สร้างลมพลัดอันดามันอันตื่นใจ                        สร้างสมัยอาเซียนเขียนแผ่นดินฯ

กระแสทุนโถมรุกเข้าทุกทิศ                            กระแสจิตก็ไหวรัวไปทั่วถิ่น

จึงเปลี่ยนหมุดความหมาย “หมาย” ทำกิน      แปรชีวินประเพณีวิถีชนม์

บ้าง-บาง “หมาย” ตั้งหมายจะขายฟ้า             จึงขายค้าเรือนรังอย่างขวายขวน

ผืนดินสวยด้วยเสน่ห์ทะเลยล                          จึงตำบลเกิดมีรีสอร์ตมุม

บ้าง-บาง “หมาย” ขายอาหารเยี่ยงพรานโหย โก่งเพื่อโกย กอบเพื่อเก็บ เสพและสุม

หัวใจแบบบ้านๆ หวานชุมนุม                          ก็ห่อหุ้มหัวใจพรายทะเล

บ้าง-บาง “หมาย” หมายจองยึดครองหาด      อย่างอุกอาจ,อหังการ์,สารพัดเล่ห์

คร่าหัวใจโคตรปรานแต่นานเน                        ออกขายเทสนองทุนโดยสุนทรี

บ้างบางหมาย “หมาย” คิด ริงกิตค่า                ยอมก้มหน้าเป็นนกต่อ นอมินี

อิงใต้ปีกนกพญาลังกาวี                                   เออีซีก็แผลงเดช เฉือนเขตแดนฯ

อันดามัน-นั่นลมพลัดยังพัดพลิ้ว                        เรือนักล่าก็ละลิ่วโฉบฉิวแล่น

ล้วน “หมาย” เหยื่อทุนใหญ่ไล่ชิงแคว้น          รัดอ้อมแขนล้อมฆ่า “ปลา” ชุมชนฯ

 (บทกวี “ลมพลัดแห่งทะเลช่องมะละกา” โดย “วรภ วราภา” เผยแพร่ในนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนกรกฎาคม 2556 )

 

 

ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นคนโคราชแต่กำเนิด ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเสมอมากระทั่งช่วง 12 ปี มานี้ ที่จำเป็นต้องย้ายมาอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนต่อและทำงานหาเลี้ยงชีพ ทว่า ด้วยโชคชะตาหรือด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เมื่อครั้งข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นอกจากชั้นเรียนจะจัดทัศนศึกษาไปหาดแม่รำพึงและสวนสนแล้ว ครอบครัวของข้าพเจ้าเองก็มักหาโอกาสขับรถกินลมชมวิวจากโคราชไปเที่ยวทะเลระยองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งแหลมแม่พิมพ์ หาดแม่รำพึง บ้านเพ หรือแม้แต่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ นางเงือก ผีเสื้อสมุทร คล้ายเป็นเพื่อนสนิทของพวกเราที่มักต้องหาเวลาแวะไปเยี่ยมเยือนให้ได้ หรือแม้แต่เมื่อครั้งที่เพิ่งเริ่มทำงานในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็ยังมีโอกาสได้ไปเยือนเกาะเสม็ดที่เขาว่ากันว่าสวยงามหนักหนา ทะเลระยองและข้าพเจ้า จึงเสมือนมีชะตาที่ต้องมาเกี่ยวพันพบปะกันอยู่ร่ำไป…

 

บรรยากาศวันวารเหล่านั้น เป็นภาพจากกล่องความทรงจำที่ชัดบ้างจางบ้างตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย

 

แหลมแม่พิมพ์มีโขดหินที่ข้าพเจ้ายังจำได้ดีว่า “วิวสวย” เมื่อยืนอยู่บนนั้นจะเกิดความรู้สึกว่าทะเลตรงหน้าเป็นของเรา ในทางกลับกันข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเส้นขอบฟ้าและทะเลระยองในวันนั้น คล้ายจะบอกกล่าวข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงของมิตรสหายว่า “แวะเวียนมาหาอีกบ้าง อย่าลืมกัน”

 

ทว่า ตราบจนวันนี้ ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปที่แหลมแม่พิมพ์อีกเลย แต่น่าแปลก ทะเลระยองที่แหลมแม่พิมพ์ยังแจ่มชัดในความทรงจำของข้าพเจ้าเสมอมา และเป็นความทรงจำที่สวนทางกับความเป็นจริงในวันนี้อย่างยิ่ง

 

เครือข่ายประมงเรือเล็กชายฝั่ง จังหวัดระยองบอกข้าพเจ้าว่า ผลกระทบจากน้ำมันดิบที่รั่วไหลและการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน ทำให้ปลาที่พวกเขาเคยจับได้ ทั้งที่แหลมแม่พิมพ์ หาดแม่รำพึง วันละไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม กลับเหลือเพียงวันละ 20 กิโลกรัม และในหลายพื้นที่ก็ไม่มีหอยให้จับแล้ว   

 

ทะเลสีดำในวันนี้ จึงสะท้อนให้เห็นถึงความจริงแท้ที่ไม่อาจปกปิด นั่นคือความดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตสำนึกและแสดงออกผ่านการแก้ไขปัญหาน้ำมันดิบรั่วอย่างไร้ความรับผิดชอบ

 

ปริมาณสารเคมี Slickgone ที่ถูกฉีดพ่นถึง 32,000 ลิตร ภายใน 2 วัน ปริมาตรน้ำมันดิบ 110 คิว จากอ่าวพร้าวที่ถูกขนขึ้นเรือของกองทัพเรือ คือหลักฐานสำคัญที่ทำให้ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุด้านพลังงานประเมินว่าเฉพาะน้ำมันดิบที่อ่าวพร้าวย่อมมีปริมาตรไม่ต่ำกว่า 1 แสน 1 หมื่นลิตร ส่วนสารเคมี 32,000 ลิตร ก็อาจสะท้อนได้ถึงปริมาตรน้ำมันที่อาจมีมากถึง 320,000 ลิตรเมื่อเทียบกับอัตราส่วนที่ทางบริษัทผู้ผลิตสารเคมีกำหนด

 

แม้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเล นำโดยคุณหญิงทองทิพ รัตนะรัต ผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จะระบุว่าปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมามีเพียง 54,341 และยืนยันว่าสารเคมีสลิคกอร์นไม่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทำหน้าที่เหมือนสบู่ซักผ้าที่ช่วยขจัดคราบสกปรกให้ท้องทะเล ทั้งที่งานวิจัย Israel Oceanographic and Limnological Research, National Institute of Oceanography ระบุชัดเจนว่าสารเคมี Slickgone เป็นอันตรายต่อปะการัง ทั้งย้ำอีกว่าเหตุที่ต้องใช้สารเคมีเยอะขนาดนั้นเพราะมีปัจจัยภายนอกทั้งจากสภาพอากาศและคลื่นลม

 

แต่ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไร การแก้ปัญหาอย่างขาดความเคารพต่อระบบนิเวศชุมชนและท้องทะเล คือภาพสะท้อนอย่างชัดเจนว่า ปตท. PTTGC และหน่วยงานรัฐทุกหน่วยที่เพิกเฉยคือความมืดดำที่แท้จริงยิ่งกว่าความดำมืดของท้องทะเลระยองในวันนี้

 

การแก้ไขปัญหาด้วยการใช้สารเคมีกดโมเลกุลน้ำมันให้จมสู่ท้องทะเลแทนการใช้ทุ่นล้อมน้ำมันแล้วปั๊มดูดกลับไปเก็บบนเรือ เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่า PTTGC ปตท. และหน่วยงานรัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง คือผู้ที่มีส่วนในการแก้ปัญหาอย่างล่าช้าและทำให้ท้องทะเลสีครามกลายเป็น “ทะเลสีดำ” เพราะน้ำมันที่ถูกกดจมสู่ทะเลได้เคลื่อนตัวขึ้นสู่ชายฝั่งและทำลายระบบนิเวศน์ สร้างความสูญเสียให้แก่วงจรชีวิตในห่วงโซ่อาหารอย่างมิอาจประมาณค่าและมิอาจเรียกกลับคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

ไม่ใช่แค่เกาะเสม็ดและอ่าวพร้าว แม้แต่แหลมแม่พิมพ์ก็กำลังร้องไห้ หาดแม่รำพึงกำลังเพรียกหาลูกหลานที่ดวงวิญญาณแตกสลายด้วยน้ำมือมนุษย์ผู้มีส่วนทำลายท้องทะเลสีครามให้ย่อยยับอัปรา

 

จริงอยู่ บทกวีของวรภ วราภา อาจไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสถานการณ์นี้

 

แต่อย่างน้อยที่สุด บทกวีบทนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมในความกล้าหาญของกวีที่กล้าชูคมศาสตราจากปลายปากกาของเขาขึ้นกวัดไกวในยุคสมัยที่ระบอบทุนนิยมเสรีสามานย์คืบคลานสู่ลมหายใจของสรรพชีวิตที่ไร้ทางสู้

 

วันที่องค์กรธุรกิจข้ามชาติและนักการเมืองต่างถือสิทธิ์ในการครอบครองทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เป็นธรรม

 

ในวันที่แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทที่มีผู้บริหารเป็นคนไทยด้วยกันเองและกลุ่มทุนข้ามชาติ รอคอยจังหวะยึดกุมทะเลที่ไม่ใช่แค่จังหวัดระยอง แต่แผ่ขยายวงกว้างไปถึงรอบเกาะเต่า เกาะพงัน เกาะสมุย ฯลฯ อย่างไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ

 

เช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงอดมิได้ที่จะขอเรียกร้องให้เหล่ากวีผู้ครอบครองคมศรวรรณศิลป์

 

โปรดง้าวคันศรของท่านแล้วระดมยิงระบอบทุนที่ไร้ธรรมาภิบาลทั้งหลายเหล่านี้

 

โปรดลุกขึ้นมายืนหยัดเคียงข้างมวลชน

 

ไปให้พ้นกลเกมการเมือง ก้าวข้ามความเป็น “เหลือง” และ “แดง”  แต่จงผนึกพลังและเรี่ยวแรงทั้งมวลเพื่อพิทักษ์ผืนแผ่นดิน ทรัพยากร และลมหายใจของคนระยอง ชาวประมงและประชาชนตัวเล็กตัวน้อยทุกคนในทุกหย่อมหญ้าที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับระบอบทุนที่ไร้ธรรมาภิบาลอย่างไม่รู้เหน็ดไม่รู้เหนื่อย แม้อ่อนล้าเรี่ยวแรงสักปานใด

 

พวกท่าน จะลุกขึ้นสู้เคียงข้างพวกเขาหรือไม่?

 

คมความคิดและศรศิลป์อันวิจิตรเลิศเลอที่ปลายปากกาของท่าน

 

โปรดตวัด ขีดวาด ประกาศนาม เพื่อพวกเขา…

 

เพราะแท้แล้ว อีกบทบาทหน้าที่หนึ่งของกวี นอกเหนือไปจากการมอบความอิ่มเอมใจในสุนทรียรส

 

ผู้ครอบครองปากกาและความคิดย่อมเป็นหนึ่งในฐานันดรที่ 4 ของสังคม อย่างมิอาจโต้แย้ง หรือมิใช่?

 

“ตื่นเถิดกวี”

 

โปรดแสดงบทบาทแห่งสถานะของท่าน เพื่อสังคม ผืนแผ่นดิน และท้องทะเลของเรา

 

 

หรือแท้แล้ว ข้าพเจ้าก็เพียง ‘รำพึง’ แทนหาดแม่รำพึง แหลมแม่พิมพ์ และทะเลระยองที่โศกศัลย์…ก็เท่านั้น

 

เอวังด้วยประการฉะนี้

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: