วิเคราะห์: ทำไมกระแสวิจารณ์เจ้าลดลง

ใบต้องแห้ง 24 ก.ย. 2556 | อ่านแล้ว 1157 ครั้ง

นี่เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี คำตอบแรกคือเป็นเรื่องธรรมดา คำตอบที่สองคือมีทั้งแง่ที่ดีและแง่ที่ต้องใช้เวลาอีกนานในการ “ปฏิรูป” อย่างที่สมศักดิ์เสนอ และอาจปฏิรูปได้ไม่หมด

การที่กระแสวิจารณ์เจ้า “ตกต่ำ” เป็นเรื่องธรรมดา เพราะขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่ว่าขบวนไหนในประวัติศาสตร์ไทย แม้กระทั่ง พคท.ก็ไม่อยาก “ชน” กับสถาบันกษัตริย์ พคท.ท่องคาถาโค่นล้มจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม ทุนนิยมขุนนาง รายวัน แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงสถาบันหรือเจาะจงเฉพาะพระองค์ เพราะรู้ดีว่าจะเสียแนวร่วมตั้งแต่ต้น ต้องอ้อมไปปลุกระดมกันทางอื่น

เพียงแต่ที่กระแสวิจารณ์บทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์พุ่งสูง เพราะตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นมา พันธมิตรฯ ได้ “แปลงสถาบันเป็นอาวุธ” โค่นล้มทักษิณ ตั้งแต่กรณีวัดพระแก้ว ปฏิญญาฟินแลนด์ มาถึง ม.7 และรัฐประหาร 19 กันยา ที่กล่าวหาว่าทักษิณ “หมิ่นเหม่” ขณะที่ผู้ใกล้ชิดสถาบันตบเท้าออกมามีบทบาททางการเมือง สนับสนุนรัฐประหาร สนับสนุนพันธมิตร เชียร์รัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยบางคนถึงกับชี้หน้าว่าทักษิณและเสื้อแดง “ล้มเจ้า” เลยก็มี

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลาออกจากองคมนตรีมาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วกลับไปเป็นองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ชื่นชมอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อหน้า พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ ออกมาด่าทักษิณคิดไม่ซื่อ “เมธ เฟอร์รารี” ก็โจมตีนักการเมืองและการพัฒนาทุนนิยม

มันจึงทำให้คนอีกข้างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตอบโต้ ด้วยหลักการประชาธิปไตย

เสื้อแดงลุกฮือ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์พันธมิตรปิดล้อมรัฐสภาเมื่อ 7 ต.ค.2551 เอกสารใต้ดิน ข้อมูลต่างๆ เทปวิทยุ นปช.USA ชูพงศ์-บรรพต แพร่สะพัดทั่วไปในชนบท และหลังพฤษภา 53 ซึ่งอ้าง “ผังล้มเจ้า” เพื่อใช้กระสุนจริง เสื้อแดงก็โดน ม.112 กันระนาว

แต่สถานการณ์ตาลปัตรเมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ยิ่งลักษณ์เชิญ พล.อ.เปรมมาทำเนียบ ยิ่งลักษณ์นำทหารตบเท้าอวยพร “ป๋า” รัฐมนตรีไพร่ไม่พูดแล้วแม้แต่คำว่า “อำมาตย์” กระแสดึงสถาบันกษัตริย์มาโค่นล้มรัฐบาลเริ่มลดลงถนัดตา สังคมก็ไม่เชื่อถือ สังเกตไหมว่าวันนี้แทบไม่มีใครกล่าวหายิ่งลักษณ์ “ล้มเจ้า” หรือถ้ากล่าวหา ชาวบ้านก็หัวร่อกลิ้ง

พูดอีกอย่างว่าใครเอา “ผังล้มเจ้า” มาโจมตีกันกลายเป็นตัวตลก ถึงแม้จะมีพวกตัวตลกตามแห่อยู่มากก็ตาม ม็อบแช่แข็ง “เสธอ้าย” เป็นตัวตลกที่ยังอ้างว่ารัฐบาลจะล้มสถาบัน พรรคแมลงสาบที่พยายามโจมตีเรื่องนี้ก็เป็นตัวตลก ต้องหันไปโจมตีรัฐบาลเรื่องอื่น เช่น ทุจริตโกงกิน

ผู้ใกล้ชิดสถาบันก็ระมัดระวังปากคำ สงวนท่าทีมากขึ้น แม้บางคนออกมาเคลื่อนไหวเช่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ก็มีลักษณะเฉพาะตัวสูง และไม่สามารถชูเรื่องสถาบัน เพราะพูดไปฟังไม่ขึ้น

ขบวนเสื้อแดงหรือแม้แต่นักประชาธิปไตยก็พึงพอใจสถานการณ์นี้โดยอัตโนมัติ แม้ช่วงแรกยังมีปัญหา ม. 112 ซึ่งจุดกระแสต่อต้านในคดี “อากง” นำไปสู่การรณรงค์แก้ไข ม.112 จนพวกกษัตริย์นิยมล้นเกินออกมาตอบโต้ แต่กระแสรณรงค์ 112 ตามแนวทางนิติราษฎร์ ก็มุ่งไปที่ศาลและหลักความยุติธรรมตามกฎหมาย ในแง่เนื้อหาได้ก้าวต่อไปสู่การวิจารณ์ “ศาลในพระประมาภิไธย” ซึ่งเป็นประเด็นที่ลึกซึ้งขึ้น แต่ในทางการเมืองก็เป็นการสู้รบกับตุลาการภิวัตน์ ที่ขัดขวางประชาธิปไตย

2 ปีที่ผ่านมา มาตรา 112 ไม่ค่อยมีเหยื่อรายใหม่ แม้มีคดีพี่แจ้งจับน้อง อดีตเมียแจ้งจับผัว หรือล่าสุด “สื่อเทียม” แจ้งจับอั้ม เนโกะ แต่ในภาพรวม เมื่อเสื้อแดงไม่รู้สึกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ถูกดึงมาล้มรัฐบาลอีก ก็เกิดความพึงพอใจ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การ “วิจารณ์เจ้า” ก็ลดราสร่างซาไปโดยอัตโนมัติ เหลือแต่เฟซบุคสมศักดิ์ กับอีกไม่กี่คน ซึ่งก็เน้นวิจารณ์อย่างมีเหตุผล นอกนั้นก็หยิกกัดพวกสลิ่ม พวกกษัตริย์นิยมล้นเกินเสียมากกว่า กระทั่งไทยอีนิวส์ก็หันไปเล่นข่าวกุ๊กกิ๊ก ก๊อดสิป แบบหนังสือพิมพ์อังกฤษ เรียกเรตติ้งกระฉูด

นี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนก็คิดถึงความอยู่รอด รัฐบาลก็คิดถึงความอยู่รอด กองเชียร์ก็คิดถึงความอยู่รอด เมื่อเห็นว่าในสถานการณ์เฉพาะหน้า สถาบันกษัตริย์ไม่มาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ก็พอใจ โล่งอก แม้ยังไม่มั่นใจนัก แต่ก็รู้สึกเบาใจกว่าเดิม

ในอีกแง่หนึ่ง มนุษย์มักรับรู้ด้านเดียวก่อนจะรู้อีกด้านหนึ่ง แล้วจึงตกผลึก มีเหตุผล โดยเมื่อรับรู้อะไรใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นฮือฮา หรือมีอารมณ์ มวลชนที่เติบโตมาในสังคมไทยทั้งชีวิต เมื่อไม่พอใจ หรือพอได้ฟังคนพูดอีกด้าน ก็ “ตาลุกโพลง” แต่เวลาผ่านไปเมื่อได้ใคร่ครวญ มีสติ คิดวิเคราะห์ ก็เริ่ม “ตาสว่าง” เข้าใจว่า ประเทศไทยควรเป็นประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ส่วนจะพัฒนาไปแบบอังกฤษ หรือแบบยุโรป ก็ควรเปลี่ยนไปสู่จุดนั้นอย่างสันติ ค่อยเป็นค่อยไป

ข้อดี ลดความรุนแรง

การนำสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไปจากความขัดแย้งเฉพาะหน้า ซึ่งมาจากความพยายามของรัฐบาล โดยมีการขานรับจาก “อำมาตย์” ผู้ใกล้ชิดสถาบัน มีข้อดีที่ลดความรุนแรง ลดความเกลียดชัง เพราะประเทศนี้ไม่มีเรื่องไหนปลุกความเกลียดชังกันได้มากเท่าเรื่องสถาบันกษัตริย์

ความเกลียดชังทางการเมืองที่สาดใส่กันวันนี้ จึงเป็นความเกลียดชัง “อีปูโง่” หรือ “ไอ้มาร์คถ่อย” ซึ่งขึ้นสู่กระแสสูง มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่างน้อยก็ไม่มีเรื่อง “ล้มเจ้า” ในกระแสหลัก

กองทัพ องคมนตรี ถอยออกจากความขัดแย้งในระยะนี้ (อย่างน้อยก็ในท่าทีสาธารณะ) เหลือแต่ศาล ตุลาการภิวัตน์ พวกจ้องล้มรัฐบาล “โหนเจ้า” ไม่ได้ก็ไปโหนตุลาการภิวัตน์ ซึ่งก็ซัดกันไปเถอะ อย่างมากก็หมิ่นศาล อย่าเอา 112 มาเล่นงานกัน

แน่นอน สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ ที่รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณ “เทิดพระเกียรติ” อย่างเหลือล้น ไม่ได้มีหลักประกันว่าสถาบันกษัตริย์จะไม่ถูกดึงมาอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองอีก โดยเฉพาะปัญหาในเชิงโครงสร้างของ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่พวกล้นเกินพยายามตีความ “พระราชอำนาจ” ให้กว้างขวางครอบคลุมทุกอย่าง จนอยู่เหนือระบอบ เหนืออำนาจอธิปไตยของปวงชน ก็ยังดำรงอยู่

ปัญหา “เครือข่าย” ที่อิงสถาบันกษัตริย์เพื่ออำนาจและประโยชน์ของตน ขององค์กรสถาบัน ก็ยังดำรงอยู่ “เครือข่าย” อันกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งกองทัพ ศาล “ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน” ข้าราชบริพาร ชนชั้นสูง ผู้ลากมากดี พวกที่ more royalist than the King ไม่ยอมแน่ถ้าจะมีการปฏิรูปบทบาทสถาบัน

กระนั้น ผมก็คิดว่าสังคมไทยมีบทเรียนแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ชิดสถาบันก็น่าจะมีบทเรียนแล้ว ว่าความขัดแย้ง 7 ปีที่ผ่านมา ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ได้เป็นผลดีเลย ทั้งต่อการคลี่คลายสถานการณ์และต่อสถาบัน การตั้งข้อหา “ล้มเจ้า” เพื่อล้มล้างกันทางการเมือง ในระยะอันใกล้นี้ จึงไม่น่าจะได้ผล

ในสถานการณ์ที่อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน มีสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของประชาชนคนธรรมดา สภาพที่ดำรงอยู่นี้ ที่นำสถาบันออกไปจากความขัดแย้งเฉพาะหน้า และกระแสวิจารณ์บทบาทสถาบันลดต่ำลง อย่างน้อยก็เป็นเรื่องดี (กว่า) แม้ไม่มีอะไรปรับเปลี่ยนอย่างที่บางคนคาดหวัง

ส่วนในระยะยาว การถกเถียงเรื่องบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปสถาบัน อย่างมีเหตุผล มีเนื้อหาสาระ แบบสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็จะมีต่อไปอย่างซึมลึก

ในมุมหนึ่งเราอาจมองได้ว่า การที่พวกกษัตริย์นิยมล้นเกินลุกฮือ “ปิดปาก” รายการตอบโจทย์ เท่ากับปิดกั้นการวิจารณ์บทบาทสถาบัน จนเงียบหายไป แต่ในอีกมุมหนึ่ง เฟซบุคสมศักดิ์ก็มึคนติดตามเกือบห้าหมื่น การถกเถียงเชิงเหตุผลยังดำรงอยู่ คนจำนวนมาก คนรุ่นใหม่ อาจตกผลึกแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่เห็นว่า “ยังไม่จำเป็น” ที่จะต้องเน้นเรื่องนี้ในระยะนี้ หรือไม่ก็คิดว่า “รอเวลา” แม้แต่พวกที่ด่าๆ เอง อันที่จริง ผมเชื่อว่ามีไม่น้อยที่เข้าใจ ว่าถึงจุดหนึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนแต่พวกเขายังทำใจรับไม่ได้ และมีอคติทางการเมืองเท่านั้นเอง

ฉะนั้นการที่กระแส “วิจารณ์เจ้า” ตกต่ำจึงเป็นเรื่องธรรมดา และสะท้อนเรื่องดี (กว่าไม่ดี) แม้ยังไม่เกิดการปรับเปลี่ยนอะไร แต่ก็ดีกว่าปะทะกันรุนแรง และการวิจารณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้สังคมตระหนักในเนื้อหาสาระ รองรับการปรับเปลี่ยนในอนาคตได้พอควร

 

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์

www.facebook.com/tcijthai

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟสบุ๊คกับ TCIJ ออนไลน์
www.facebook.com/tcijthai

ป้ายคำ

  

Like this article:
Social share: