โรงเรียนนักข่าว TCIJ เพิ่งจะจบการเรียนรู้ในชั้นเรียน ด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับมายาคติชุดต่างๆ เช่น ประเด็นความเป็นชาติ สถาบัน การพัฒนา ความยุติธรรม ศีลธรรม ฯ โดยจุดประสงค์ของหลักสูตรนี้คือ เพื่อให้นักข่าวหรือคนทำงานสื่อสาธารณะ รู้เท่าทัน”ความไม่รู้” และ”อคติ” ของตน ซึ่งอาจจะแฝงฝังมากับการศึกษา การบ่มเพาะในวิชาชีพ รวมถึงการซึมซับรับรู้ทางสังคม เพราะเชื่อว่า คนทำงานสื่อควรมีคุณสมบัติด้านวิธีคิดเชิงวิเคราะห์ หรือ system thinking
นักข่าวใหม่คนหนึ่งที่เข้าร่วมโรงเรียนนักข่าว TCIJ ตั้งคำถามแย้งกลับต่อหลักสูตรนี้ว่า เรากำลังเอามายาคติชุดใหม่มาแทนที่มายาคติชุดเก่าหรือเปล่า ? ซึ่งทำให้อยากนำมาตอบดังๆในที่นี้ด้วย
อันที่จริง ถ้าเราเริ่มรู้สึกหรือรู้คิดว่า อ้ายที่วิทยากรกำลังบรรยายอยู่นี้ก็เป็นมายาคติอีกชุดหนึ่งแหละวะ มายาคติชุดนั้นก็จะอ่อนกำลังลง จนทำให้เราเริ่มมีสายตาที่จะมองมายาคตินั้นๆ ด้วย critical mind มากขึ้น จนแม้แต่เริ่มอยากคิดท้าทายหรือตั้งคำถามต่อความเชื่อ คำสั่งสอน หรือค่านิยมต่างๆอีกมาก ไปจนถึงสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า“การถอดรื้อ” ความคิดและความรู้ชุดเก่า (deconstruct และreconstruct ) ไปสู่การอธิบายมันเสียใหม่ คิดใหม่ สร้างความรู้ใหม่
แต่จริงๆ ดิฉันออกจะสงสัยคำถามของน้องนักข่าวใหม่ว่า มาจากมายาคติอีกอย่างหนึ่งอันว่าด้วย นักข่าวต้อง”เป็นกลาง” ซึ่งสื่อมวลชนไทยมักอ้างกันติดปาก จนแม้ในนาทีที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงสลับซับซ้อน อาจจะเป็นด้วยเชื่อโดยสัตย์จริงว่า ความเป็นกลางคือการเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้พูดเท่าๆกัน แม้แต่ลงรูปผู้นำทางการเมือง ก็ต้องนับจำนวนให้เท่าๆกันและเป็นรูปที่ดูดีพอๆกัน (ฮา) ความเป็นกลางแบบนี้ไม่มีมิติอะไรมากไปกว่าการ”หารสอง”ตามหลักคณิตศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อมวลชนไทยมีส่วนสร้างธรรมเนียมความเป็นกลางแบบนี้ มาตั้งแต่ยุคการแบ่งฝักฝ่ายเป็นซ้าย-ขวา เมื่อฝ่ายซ้ายถูกตราหน้าว่าหนักแผ่นดิน และฝ่ายขวาถูกหาว่าไดโนเสาร์เต่าล้านปี คนจำนวนมากรวมถึงสื่อมวลชน จึงต้องอยู่รอดที่ความ”เป็นกลาง” อันเป็นเส้นแบ่งครึ่งที่ปลอดภัยที่สุด
วิธีคิดแบบจับคู่ตรงข้ามและศาสตร์แยกส่วนที่เป็นฐานคิดของความรู้สมัยใหม่ก็มีส่วนไม่น้อย เช่น การแยก subject กับ object การมองความรู้เป็นชุดวิชาต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นต้น ทำให้มองไม่เห็นองค์รวมหรือความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆทั้งมวล มัชฌิมาปฏิปทาในทางพุทธ ก็ถูกเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าคือ ”ทางสายกลาง”หรือความพอดี ไม่ซ้ายไม่ขวาไม่มากไม่น้อย ซึ่งที่จริงแล้ว มัชฌิมาปฏิปทามีความหายที่เป็นมรรค หรือวิถีทางหรือวิธีการที่มีความเกี่ยวเนื่องแยกไม่ออกจากทุกข์ สมุหทัย นิโรธ หมายความว่าเมื่อเราเข้าใจตัวปัญหาหรือทุกข์ ได้คิดโดยแยบคาย แยกแยะเหตุปัจจัยอย่างรอบด้านแล้ว จึงจัดวางท่าทีและการกระทำที่เหมาะสมต่อทุกข์หรือเรื่องนั้นๆได้อย่างถูกต้อง นี่คือทางสายกลางที่แท้จริง
น่าสนใจที่ภาษาอังกฤษไม่มีศัพท์คำนี้ มีก็แต่”ความเป็นธรรม” หรือ Justice ความเป็นธรรมจะเกิดมีได้ ก็โดยที่คนส่วนใหญ่หรือสังคม มีเครื่องมือหรือกติกาที่ใช้กำกับความเป็นธรรมนั้นด้วย ในสังคมฝรั่งจึงใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรม โดยการทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ไม่เลือกปฏิบติแก่ใคร แต่ในบางสังคม กติกากำกับความเป็นธรรม อาจเป็นมติสาธารณะหรือเสียงข้างมาก
มนตราว่าด้วยความเป็นกลางของผู้มีอาชีพหรือบทบาทต่อสาธารณะ จึงเรียกร้องความเข้าใจที่ลุ่มลึกมากไปกว่าความเป็นกลางแบบหารสอง โดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่ต้องรู้เท่าทันตัวเองเสียก่อนว่าตัว”ไม่รู้อะไร”ด้วยการเปิดใจเปิดสมอง ยอมรับข้อมูลความรู้ที่พ้นไปจากความเคยชินและความเข้าใจแบบเดิมๆ
และอย่างน้อยที่สุด ต้องตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ความเป็นข่าวให้ได้ว่า อะไรบ้างที่ตาเราไม่ได้เห็นหูเราไม่ได้ยิน นั่นแหละ จึงจะ”ทำความจริงให้ปรากฎ”ได้ โดยที่ความจริงนั้นจะไม่ใช่ความจริงแบบ ใคร ทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน...อีกต่อไป
www.facebook.com/tcijthai
ป้ายคำ